ณัฐวุฒิจุก!'จตุพร'ลั่นไม่สู้บนโลกความเป็นจริงก็แพ้ซ้ำซาก พูดให้สวยให้ดูดีไม่ใช่เรื่องยาก-หนทางข้างหน้าจะมีติดคุกอีก 18 คน


เพิ่มเพื่อน    

5 ต.ค.61 -ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มเสื้อแดงและแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จัดงานวันคล้ายวันเกิดอายุ 53 ปีให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ที่ร้านกาแฟพีซ คาเฟ่ ชั้น 5 อิมพีเรียล ลาดพร้าว  โดยนายจตุพร กล่าวว่า ปีนี้เป็นวันเกิดที่มีความหมาย แต่ปีที่แล้วจัดที่ แดน 1 เรือนจำพิเศษ กทม. ดังนั้นจึงมีความหมายท่ามกลางบรรยากาศสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน และมีหลายคนตั้งคำถามว่า จตุพรเปลี่ยนไปหรือเปล่า

รวมทั้งระบุว่า ตนกรำศึกตั้งแต่ก่อนปี 2535 จนถึงปี 2553 และมาถึงปัจจุบันในวัย 53 ปี ซึ่งไม่มีอะไรที่ไม่เคยทำหรือไม่เคยต่อสู้มา ในรอบ 10 ปีเข้าคุก ออกคุกมาแล้ว 4 รอบ ส่วนอนาคตยังบอกไม่ได้ว่า จะเข้าอีกวันไหน เราต่อสู้ด้วยสังขารและอิสรภาพ

“ผมต้องการให้พี่น้องไปถึงปลายทาง ผมกรำศึกมา มีคนตายในชะตากรรมเดียวกับผม 2 เหตุการณ์ร่วม 200 ชีวิต ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่ต้องการเห็นคนตายคาตาเป็นครั้งที่ 3 ในชีวิตของผมอีก แต่มิได้หมายความว่า จะไม่ต่อสู้”

นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าไม่เข้าใจสถานการณ์ประเทศในขณะนี้ ย่อมเดินไปสู่กับดักอีกฝ่ายเข้าไปอีก ดังนั้น การต่อสู้ต้องปรับยุทธวิธีให้เข้ากับสถานการณ์ อาจไม่สะใจ แต่เมื่อต้องการสู่เป้าหมาย จึงไม่ต้องการวิธีต่อสู้แบบสะใจ และในสถานการณ์นี้มีคนรอจะถูกเอาเข้าคุกร่วม 18 คน ดังนั้น ตนรู้เหตุการณ์ข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น

“รธน. 2560 แค่กติกาการเลือกตั้งก็สันนิฐานกันว่า มีสภาพเหมือนการทำประชามติบวกกับการเลือกตั้ง ส.ว. ปี 2543 และปี 2549 การปราศรัยมีคนฟังหลายหมื่นคนจะไม่ปรากฏขึ้น แต่จะมีเวทีกลางของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แล้วให้แต่ละพรรคมาจับสลากปราศรัยกัน”

ดังนั้น บรรยากาศแบบนี้ เช่นเดียวกับการทำประชามติที่ไม่คิดว่าจะแพ้ แต่ผลลัพธ์ออกมากลับแพ้ชนิดที่คาดไม่ถึง และการเลือกตั้งครั้งนี้ หลายคนคาดจะได้ ส.ส.ง่ายเหมือนเดิม แต่การออกแบบเลือกตั้งใบเดียวนั้น เฉลี่ยคนได้เป็น ส.ส.ต้องมีคะแนน 7 หมื่น และอดีตคนชนะได้เป็น ส.ส.ได้แค่ 3-5 หมื่นเสียงเท่านั้น ดังนั้น จึงต้องเอาเสียงของพรรคนั้นที่แพ้ในเขตอื่นไปเติมให้เขตที่ได้ให้ครบ 7 หมื่น ที่เหลือจึงนำมานับเป็นบัญชีรายชื่อ

“ถามว่าคะแนน 7 หมื่นมาจากไหนนั้น มาจากผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งปี 2554 หารด้วยจำนวน ส.ส. 500 คนจึงเป็นคะแนนเสียง ส.ส. แต่ละคนต้องได้คะแนน 7 หมื่น ดังนั้น เมื่อพรรคได้ ส.ส.มาก อาจจะไม่ได้รับเสียงปาร์ตี้ลิสต์เลยก็ได้”

นายจตุพร กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ฝ่ายตรงข้าม ตั้งพรรคมารองรับถึง 5 พรรค เพื่อหลีกเลี่ยงเกณฑ์ ส.ส. 7 หมื่นคะแนน ดังนั้น คะแนนจึงไม่เสียเปล่าทั้งหมด หากไม่เข้าใจกติกาการออกแบบเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่มีทางได้รับเลือกถึง 250 เสียงเลย

นอกจากนี้ การเลือกนายกรัฐมนตรี ยังออกแบบให้ ส.ว. มาร่วมโหวต และต้องได้เสียง 376 เสียงจึงได้เป็นนายกฯ รวมทั้งถ้าเป็นนายกฯคนในจะอยู่ลำบากต้องถูกตรวจสอบจากองค์อิสระที่มีอำนาจมาก ส่วนนายกฯคนนอก มีเสียงสนับสนุนในสภาน้อย จะต้องเจอศึกอภิปรายในสภาย่อมบริหารบ้านเมืองลำบาก

ด้วยเหตุนี้ นายกฯจะเป็นคนนอกหรือคนใน จึงเป็นวิกฤตของชาติรออยู่ข้างหน้าทั้งนั้น เมื่อเราเดินมาสู่เส้นทางขณะนี้แล้ว จึงต้องพูดความจริงกันซึ่งอาจไม่สะใจ ตนจึงบอกว่า ถ้าทุกฝ่ายไม่มาตกลงกันให้ชัดเจน ประเทศเดินหน้าไปไม่ได้

“หลายคนจึงบอกว่า จตุพรเปลี่ยนไป ผมบอกเลยว่า ถ้าเราไม่สู้บนโลกความเป็นจริง เราจะแพ้ซ้ำซาก การพูดให้สวยให้ดูดีไม่ใช่เรื่องยาก แต่หวานเป็นลมขมเป็นยากันอยู่ ผมรู้ระยะนี้หลายคนอาจไม่เข้าใจ แต่ควรตั้งหลักกันอย่างช้าๆ ศึกษา รธน. และเหตุการณ์ พฤษภา 2535 หรือถอยไป 14 ต.ค. 2516 จะเข้าใจสถานการณ์ของประเทศไทย”

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า ตนหลีกเลี่ยงความตายถึงที่สุดเพราะรู้ปลายทางที่กำลังเดินไป เมื่อกติกามีปัญหาการคุยกันเพื่อเป็นสัญญาประชาคมนั้น จะเป็นทางออกให้ชาติบ้านเมือง โดย 10 กว่าปีที่ผ่านมานั้น เราเป็นฝ่ายตายและบาดเจ็บ สิ้นอิสรภาพมากที่สุด เราจึงต้องคิดใหม่เพื่อไปให้ถึงปลายทางให้ได้

“ชีวิตเดินมา 53 ปีถือว่ามาไกล จากนี้เป็นกำไรของชีวิต ตำแหน่งแห่งหนเป็นเรื่องเล็กมาก แต่ความรู้สึกผูกพันกับพี่น้องที่เป็นยิ่งกว่าญาตินั้น เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต”นายจตุพร กล่าว
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"