พอย่างเข้าเขตหน้าหนาวว์ว์ว์...


เพิ่มเพื่อน    

                                                        (1)

        ลมหนาวว์ว์ว์...ชักเริ่มโชยๆ เข้ามามั่งแล้ว แม้ไม่ถึงกับหนาวชนิดต้องรื้อเสื้อหนาวรุ่นพระเจ้าเหาใส่กางเกงหูรูดออกมาสวมใส่ แต่ก็พอช่วยให้ช่วงเช้าๆ สายๆ ไปถึงช่วงดึกๆ ดื่นๆ ไม่ถึงกับต้องเปลืองค่าแอร์มากมายซักเท่าไหร่ อีกทั้งยังช่วยให้คนแก่ที่ออกจะเหี่ยวๆ แห้งๆ ไปตามวัย ตามสังขาร พอได้หวนรำลึกนึกถึงช่วงที่ยังเคยมีเรี่ยว มีแรง มีอารมณ์โรมันคาทอลิก (โรแมนติก) ขึ้นได้มั่งเล็กๆ น้อยๆ...

                                                         (2)

        จำได้ว่า...ในช่วงอดีตกาลนานมาแล้ว เคยเขียน เรื่องสั้น เอาไว้เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับครั้งที่ตัวเองยังเป็นแค่เด็กนักเรียน นุ่งกางเกงขาสั้น เดินแกว่งไป แกว่งมา อยู่แถวๆ ย่านเตาปูน บางซื่อ อันเป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียน ผดุงศิษย์วิทยา ที่ขึ้นชื่อลือชาในวงการบู๊ลิ้มอยู่พอสมควร ซึ่งก็ยังคิดไม่ออก บอกไม่ถูก อยู่ในช่วงนี้ ว่าเหตุใดในขณะนั้น...การแสดงออกถึงความมีตบะ บารมี ความกล้าแกร่ง หรือที่เด็กๆ เขาเรียกว่า ความเก๋า ของตัวเองในช่วงนั้น ก็คือการไม่คิดจะ ใส่เสื้อหนาว แบบใครต่อใครเขา คือคล้ายๆ ถ้าใส่แล้ว มันอาจจะออกไปทางพวก ลูกผู้ดี หรือประเภทพวก “เกษรอ่อนระทวย” หรือไม่ อย่างไร ก็จำไม่ได้ถนัดซะแล้ว...

                                                        (3)

        เรียกว่า...ต้องออกอาการแมนๆ แบบประเภทพระเอกหนังคาวบอยโผล่เข้าไปในร้านเหล้าอะไรทำนองนั้น ไม่ว่าหนาวขนาดไหน ขนหัว ขนตัว ลุกตั้งโด่เด่ซักเพียงใด แต่การปรากฏตัวเข้าไปในห้องส้วมของโรงเรียน อันเป็นศูนย์รวมของบรรดา สิงห์ขี้ยา ทั้งหลาย ต้องเล่นกันแบบเนื้อตัวลุ่นๆ ไม่ต้องมีเสื้อหนง เสื้อหนาวใดๆ มาเกะกะ ปิดบัง ห่อหุ้มร่างกายเอาเลยแม้แต่น้อย มีแค่ชุดนักเรียน คือกางเกงขาสั้น เสื้อนักเรียนบางๆ กับใบหน้านิ่งๆ ที่ไม่ได้แสดงออกถึงอาการสะทกสะท้านใดๆ แม้แต่นิด ก่อนควักบุหรี่ สามิต ที่ไม่ต้องมีก้นกรอง มาเสพสืดเฮือก-สองเฮือก อันนั้นนั่นแหละ...คลินต์ อีสต์วู้ด มาเอง เป็นอะไรที่เพอร์เฟ็กต์สเปกตรัม สำหรับบรรดาผู้ที่ได้ชื่อว่า เก๋าๆ ทั้งหลาย...

                                                      (4)

        แต่ก็เพราะด้วย ความเก๋า หรือความต้องการที่จะแสดงออกถึงตบะ บารมี ให้เป็นที่ประจักษ์แจ้ง รู้แจ้ง สำหรับใครต่อใครนี่เอง ก็เล่นเอา ตะพ้าน แทบรับประทาน มือเย็น ตีนเย็น หายใจไม่ออก คัดจมูก น้ำมูกไหล เกิดลมวิงเวียน ตามลักษณะอาการแบบเดียวกับคำบรรยายสรรพคุณยาประดงพระสังข์ทรงช้างอะไรประมาณนั้น สุดท้าย...เลยต้องกลับไปนอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ต้องมุดตัวคลุมโปงอยู่ในผ้าห่มหนาๆ ไม่ได้มีโอกาสกลับมาอวดตบะ บารมีใดๆ อีกเลยแม้แต่น้อย...

                                                       (5)

        ซึ่งก็คงด้วย ความเป็นเด็ก นั่นแหละทั่น...การแสดงออกใดๆ ตามมาตรฐานแบบเด็กๆ ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่ผู้ซึ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไปแล้ว อาจมึนๆ งงๆ ไม่เข้าใจกันซักเท่าไหร่ จะด้วยเหตุเพราะไม่เคยผ่านประสบการณ์ในลักษณะเดียวกัน หรือมีประสบการณ์กันไปคนละแบบก็แล้วแต่ แต่โดย มาตรฐานแบบเด็กๆ นั้น ถ้าหากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็อาจต้องหันไปอาศัยคำพูดของใครก็ไม่รู้ ที่เคยพูดๆ เอาไว้ทำนองว่า...ในตอนเป็นเด็ก เรานั้นใหญ่กว่าโลก...แต่เมื่อโตขึ้นๆ โลกย่อมต้องใหญ่ไปกว่าเรา อะไรประมาณนั้น คือในตอนเป็นเด็กๆ นั้น...ไม่ว่าอะไรก็เถอะ จะยิ่งใหญ่ เกรียงไกร ซักขนาดไหน ก็พร้อมสู้ พร้อมท้าทาย พร้อมแสดงออกถึงความเป็นกบฏ ไปด้วยกันทั้งหมด...

                                                      (6)

        ทั้งๆ ที่สุดท้ายแล้ว...อะไรต่อมิอะไรในโลกใบนี้ มันคงไม่ต้องเสียเวลาไปสู้ ไปฮึดๆ ฮัดๆ ไปอวดเก่ง อวดเบ่ง อวดตบะ บารมี อะไรกันมากมาย เนื่องจาก คู่ต่อสู้ ที่สำคัญที่สุดของใครต่อใครก็ตาม ผู้ซึ่งต้องบังเกิดมาเป็นมวลมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ คนชรา เพศหญิง เพศชาย ชาติไหน ภาษาไหน เผ่าพันธุ์ สีผิวใดๆ ก็ตามแต่ เอาเข้าจริงๆ แล้ว...ก็คือ ตัวของตัวเอง นั่นแหละ ที่จะต้องหาทางลุกขึ้นสู้ ลุกขึ้นมาท้าทาย ลุกขึ้นมาใช้ตบะ บารมี รับมือกับมันไปเป็นระยะๆ เหมือนอย่างที่บรรดานักคิด นักปราชญ์ รุ่นโบร่ำโบราณ ท่านสรุปไว้ใน มหากาพย์ภควัทคีตา นั่นแหละว่า...Rise yourself by your Self. The Self is your sole friend even as it is your sole enemy. หรือ จงยกสถานะของตัวท่านเองให้สูงขึ้น ด้วยเหตุเพราะตัวท่านเองนั่นแหละที่เป็นทั้งมิตรและศัตรูอยู่ภายในตัว ทำนองนั้น...

                                                       (7)

        การเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ หรือกระทั่งเป็น ผู้หลัก-ผู้ใหญ่ ของใครต่อใครเขาได้ ล้วนแต่หนีไม่พ้นต้องอาศัย การสู้กับตัวเอง นี่แหละเป็นหลัก ยิ่งโตขึ้นไปเท่าไหร่ สูงยิ่งขึ้นไปเท่าไหร่ คู่ต่อสู้เท่าที่เหลือ...ก็น่าจะเหลืออยู่เพียงแค่ ตัวตนของตน ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น หรือเหลืออยู่เพียงแค่ อัตตา ที่จะต้องหาทางทำอย่างไร ให้มันหายๆ ว่างๆ ไปซะที เพื่อให้โตขึ้นไปถึงขั้น หรือสูงขึ้นไปถึงขั้น ไม่ต้องเกิด-ต้องดับ-ต้องเปลี่ยนแปลง ไปตามกฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันนั้นนั่นแหละ...ถึงจะเรียกว่า เก๋า ฉบับของจริง-ของแท้ ที่แม้แต่คนแก่ๆอย่าง อันตัวข้าพเจ้าเอง ก็ยังโตไม่ถึง ไปไม่ถึงกับเค้าซักกะที แม้นอนคลุมโปง สูดลมหายใจเข้า-หายใจออก มาไม่รู้กี่หนาวต่อกี่หนาวเข้าไปแล้ว แต่สุดท้าย...มีแต่ต้องสิ้นสมประดี หลับสนิทนิทราไปพร้อมๆ กับลมหนาวจนได้...

                              -------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"