"กุลิศ"ลุยประชุมปรับเกณฑ์พีดีพี ชี้เปิดกว้างทุกเทคโนโลยี


เพิ่มเพื่อน    

 

“กุลิศ” เผย 11 ม.ค. ประชุมบอร์ดพีดีพี ปรับหลักเกณฑ์หลังรับฟังความคิดเห็น ชี้ไม่กำหนดว่าจะรับซื้อไฟในปี 2570 ต้องดูเทคโนโลยีหากพร้อมก็รับซื้อได้ทันที ยันเดินหน้าโซลาร์รูฟฯ นำร่องรับซื้อ 100 เมกฯ

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าในวันที่ 11 ม.ค. 2562 นี้จะมีการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงาน(พีดีพี)ของประเทศ ฉบับใหม่ เพื่อพิจารณาและปรับแก้ไขหลักเกณฑ์หลังจากที่มีการเปิดรับฟังความคิดเห็น(พับลิก เฮียริ่ง)ทั่วประเทศเพื่อ สร้างความชัดเจนให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก่อนหน้านี้เกิดความไม่มั่นใจในเรื่องความไม่ชัดเจนของการผลิตไฟฟ้าใช้เอง(ไอพีเอส) สัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนที่อาจจะเพิ่มขึ้นในแผน รวมถึงการรับซื้อไฟฟ้าให้เป็นไปตามแผนด้วย

“การซื้อขายกันเองนั้นในอนาคตเราไม่ได้กำหนดว่าจะต้องทำในปี 2570 แต่ก็ต้องดูความมีเสถียรภาพและความมั่นคง ไม่ไปรบกวนการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบปกติ ขณะเดียวกันก็ต้องดูถึงต้นทุนเทคโนโลยีด้วยที่อาจจะถูกลงจึงทำให้การซื้อขายไฟฟ้าเป็นไปได้มากขึ้น”นายกุลิศ กล่าว

ขณะเดียวกันแผนดีพีดีเป็นเรื่องที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนทุกปีซึ่งคาดว่าในทุก 3 ปีข้างหน้าจะต้องนำกลับมาหารือกันใหม่เพื่อปรับเกณฑ์ต่าง ๆ ให้ทันต่อเทคโนโลยี และหากในอนาคตอันใกล้นี้เทคโนโลยีมีความพร้อม รวมถึงได้รับความร่วมมือจากเอกชนให้เข้ามาทดลองหรือสนับสนุนนวัตกรรมจนการซื้อขายไฟฟ้ากันเองนั้นเกิดขึ้นได้จริง กระทรวงพลังงานก็อาจจะมีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าเลยทันทีไม่จำเป็นต้องรอถึงปี 2570 ซึ่งรูปแบบการรับซื้อไฟฟ้า รวมถึงราคาจะต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานด้วย

นายกุลิศ กล่าวถึงความคืบหน้านโยบายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา(โซลาร์รูฟท็อป)ภาคประชาชนที่ถูกบรรจุในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า(พีดีพี)ฉบับใหม่ 20ปี(2561-2580) จำนวน 10,000 เมกะวัตต์ ว่า จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าที่รัฐรับซื้อจากประชาชนในรูปแบบเสถียร(เฟิร์ม)จำนวน 4,000 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ตามอาจมีการปรับตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง อย่างไรก็ตามจากกำลังผลิตรวมของโซลาร์ฯประชาชนในแผนพีดีพี คาดว่าจะโซลาร์ฯประชาชนล็อตแรกจำนวน 100 เมกะวัตต์จะเกิดขึ้นภายในปีนี้

"โซลาร์ฯประชาชนล็อตแรกจำนวน 100 เมกะวัตต์จะกำหนดพื้นที่ร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) และจะรับซื้อคิดเป็น 15%จากหม้อแปลง ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะเริ่มหลังจากพีดีพีฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ แต่ก็ต้องรอเกณฑ์ที่ชัดเจนจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)อีกครั้ง"นายกุลิศ กล่าว

ขณะที่บริษัทมีโรงไฟฟ้าที่จะหมดอายุสัญญาจำนวน 2 โครงการ คือ โรงไฟฟ้าไตรเอนเนอจี้ ขนาด 700 เมกะวัตต์ จะหมดอายุปี 63 ซึ่งโครงการตั้งอยู่ใน จ.ราชบุรี ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ทำการต่ออายุโรงไฟฟ้า ซึ่งถือว่าเป็นการนำร่องและรวมอยู่กับโควตาการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ(ไอพีพี) 8,000 เมกะวัตต์ แต่ยังดูถึงเงื่อนไขความถูกต้อง ซึ่งในส่วนนี้เป็นการแข่งขันระหว่างเอกชนเท่านั้น กฟผ. จะไม่เข้าไปร่วมแต่บริษัทลูกสามารถทำการแข่งขันได้
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"