Good Monday'ทักษิณ'เล่าเรื่องสมัยเริ่มตั้งก๊วน'ปากกัดตีนถีบ'


เพิ่มเพื่อน    

18 ก.พ.62-นายทักษิณ ชินัวตร จัดรายการ Good Monday  EP6 "คู่แข่งคือคู่ค้า ในโลกยุคใหม่" ว่า

สิ่งที่เป็นห่วงก็คือว่า ยิ่งเจอนักธุรกิจจากจุดนั้นจุดนี้ มุมนั้นมุมนี้ของโลก ทุกคนกำลังบอกว่าปลายปี 2019 เนี่ยอันตรายนะจนถึงกลางปี 2020 ก็คือปี 2563 อาการเศรษฐกิจของโลกจะหนักเพราะว่ามันจะผันผวนมาก มันจะเกิดวิกฤต วิกฤติในตรงนั้นตรงนี้เพราะฉะนั้นเนี่ยเราต้องแข็งแรงไว้นะ นี่คือสิ่งที่นักธุรกิจก็เจอกันเตือนกัน ผมก็เลยอยากจะมาเล่าเรื่องการทำมาหากินทั้งหลายเพื่อที่เราจะได้รู้ว่าเราควรจะทำยังไง

วันนี้ทุกคนก็บอกแล้วจะทำอะไรกินดี ลงทุนในตลาดหุ้นจะว่าไง ผมก็อยากจะบอกว่า หุ้นจะผันผวนตั้งแต่กลางปี19 ไป การขึ้นลงจะหวือหวามาก ซึ่งภาษานักเล่นหุ้นก็บอกว่า ถ้ามันขึ้นลงแรงอย่างนี้ต้องไปหากินกับเดลต้า เดลต้าแปลว่าไง แปลว่าความแตกต่างระหว่างราคาที่มันขึ้นลงในระยะเวลาไม่ยาวนัก ก็คือว่าสมมุติว่าหุ้นตัวนึงเนี่ยเคยราคา 100 วันนี้ตกลงมาเหลือ 70 ก็ตกมาเยอะ ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนี้ยังดีอยู่ Volume การซื้อขายแต่ละวันก็เยอะ การบริหารก็ดูยังดีอยู่ เราก็น่าจะเข้าไปซื้อที่ 70 แล้วพอถึงเวลาไม่ต้องรอให้กลับไปที่ 100 ใหม่ สัก 80 ก็ขายแล้วก็กลับมานั่งรอใหม่อย่างนี้เขาเรียกว่าหากินกับเดลต้า

ตรงนี้ช่วงตลาดผันผวนนักเล่นหุ้นมืออาชีพก็จะไปนั่งหากินไปเดลต้าคือผลต่างระหว่างการขึ้นลงที่ผันผวนอย่างรวดเร็ว แต่ต้องเลือกนะครับ เลือกบริษัทที่มันมีความมั่นคง บริษัทที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีนักลงทุนซื้อหุ้นวันหนึ่งจำนวนมาก แล้วปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนี้ยังดีอยู่นะครับ ถ้าอย่างนี้ไม่เสี่ยงแต่ก็ต้องเข้าไวออกไว้นะครับ

แล้วคนก็ถามว่าแล้วจะทำมาหากินอะไรดีนอกจากเล่นหุ้น ช่วงนี้ก็ต้องคิดว่าเทคโนโลยีกำลังมาแรง เพราะฉะนั้นเนี่ยการทำมาหากินเลยต้องพยายามอิงเทคโนโลยีไว้ ถึงแม้ว่าเราไม่ใช่เป็นบริษัทเกี่ยวกับเทคโนโลยีก็ต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อให้เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น ความแม่นยำในการทำนายความแม่นยำในการมีข้อมูลของตัวเองในการศึกษาข้อมูลของคนอื่นจึงเป็นเรื่องสำคัญ

พูดวกมาถึงเรื่องนี้เนี่ยผมก็เลยอยากจะบอกว่า คนไทยเรามีจุดอ่อนอย่างหนึ่งเราคิดว่าการแข่งขันกันต้องเป็นศัตรูกัน จริงๆแล้วเนี่ยมันไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกัน อยากให้วิเคราะห์จากคำว่า Zero sum Game

Zero sum Game ในวงการธุรกิจนี้คือว่าถ้าคุณแพ้ผมคือชนะ ถ้าคุณชนะคือผมแพ้ มันไม่มีอะไรในโลกแบบนี้ล่ะครับว่า ชนะ 100% แพ้ 100% ภาษาทุนนิยมเศรษฐกิจทุนนิยมคือเขาบอกว่า If you can’t beat them, better join them คือถ้าเอาชนะเขาไม่ได้เป็นพวกเขาดีกว่า นั่นคือการค้าขายในเศรษฐกิจทุนนิยม เค้าถึงบอกว่าการค้าการขายเศรษฐกิจทุนนิยมมันต้อง Compete ต้องแข่งขัน แล้วก็ต้อง collaborate ต้องร่วมมือด้วยมันไม่สามารถแข่งขันอย่างเดียวหรือร่วมมืออย่างเดียวนะครับ แข่งขันอย่างเดียวไม่ร่วมมือกับใครเลยเนี่ยมันก็จะกลายเป็นว่าเราก็จะมีความรู้สึกว่ามันทำการค้าแบบเครียดครับ

อย่างจีนกับไทยเนี่ย เราไม่สามารถที่จะบอกว่า จีนคือคู่แข่งขันเรา100%ก็ไม่ใช่ จีนเป็นตลาดของเรา 100%ก็ไม่ใช่ เพราะเราก็เป็นตลาดของเขาเขาก็เป็นตลาดของเราแต่ตลาดเขาใหญ่กว่า การแข่งขันสินค้าเขาเข้ามาของเราเยอะกว่า สินค้าของเราไปหาเขาน้อยกว่า เราจะปรับตัวอย่างไร อันนี้คือสิ่งที่เป็นโลกยุคใหม่ที่ต้องคิดว่าการแข่งขันการค้านั้นต้องมีแต่ต้องมีความร่วมมือไปด้วย

คู่แข่งของเรากลายเป็นตลาดของเราก็ได้ เหมือนตอนที่ผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในปี 1994 ผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศผมก็ไปเยือนประเทศสิงคโปร์ รัฐมนตรีต่างประเทศที่เป็นคนสิงคโปร์ที่ต้อนรับผม พาไปพบนายกของเขาตาม protocol ระหว่างประเทศนะครับ ตอนนั้นนายกของเค้าก็คือ โก๊ะ จ๊กตง ไปถึงเห็นหน้าผมก็เข้ามาเช็คแฮนด์แล้วก็บอกว่า Thailand and Singapore are competitor but don’t worry the cake is getting bigger please sit down sit down

นั่นคือเป็นคำสนทนาที่ผมไม่คิดว่าผู้นำประเทศประเทศหนึ่งเนี่ยต้อนรับรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศหนึ่งแล้วคุยกันแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าเขาทุกประเทศเนี่ยเขาเน้นเรื่องการบริหารเศรษฐกิจเพราะเศรษฐกิจนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่เราจะแข็งแรงไม่แข็งแรงประชาชนจะแข็งแรงไม่แข็งแรง เขาก็เลยต้องมาสนใจเรื่องเศรษฐกิจ เขาก็บอกว่าเขายอมรับว่าไทยกับสิงคโปร์เป็นคู่แข่งขันแต่เขาบอกว่าไม่ต้องห่วงหรอกเพราะว่าโลกมันเชื่อมโยงกันตลาดมันใหญ่ขึ้น เหมือนเค้กมันก้อนใหญ่ขึ้น เราจะแข่งกันยังไงเราก็อิ่มทั้งคู่ เราไม่มีการอดตายทั้งคู่นั่นคือสิ่งที่เป็นโลกยุคใหม่ที่ต้องคิดว่าเรามีเพื่อนธุรกิจที่อาจจะทำเหมือนกันบ้างคล้ายกันบ้างก็ไม่จำเป็นต้องไปกังวลว่า เราจะต้องคบกันแบบชนิดที่มันจำเป็นต้องเป็นศัตรูกัน ไม่เป็นเพื่อนกันมันเป็นเพื่อนกันได้นะครับ

ครั้งหนึ่งเนี่ยผมตอนผมทำธุรกิจอยู่ผมก็เชิญนักธุรกิจรุ่นหนุ่มหนุ่ม ซึ่งประสบความสำเร็จในวันนั้นมาประมาณ 10 คนมาตั้งเป็นก๊วนกันพบกันเดือนละครั้ง

ก็บางทีก็คนนั้นเลี้ยงคนนี้เลี้ยงตอนหลังมาแล้วบอกว่าเอางี้ดีกว่าเราลงขันเอาเงินไปใส่กันคนละไม่มากแล้วก็ไปให้เพื่อนคนหนึ่งในนั้นที่เก่งเรื่องหุ้นเก่งเรื่องการเงินไปเล่นหุ้น เรากำไรหุ้นนี่แหละมากินมาเที่ยวกันก็มีความสนิทสนมชิดเชื้อกันบางทีก็ร่วมมือกันทางธุรกิจบ้างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องเศรษฐกิจบ้างอะไรบ้าง ก็ได้ประโยชน์ครับ บางคนก็ทำธุรกิจคล้ายคลึงกันแข่งขันกันแต่ก็ไม่ได้เอาเป็นเอาตายอะไรกันเพราะว่าเนื่องจากว่าตลาดมันใหญ่ขึ้นจริงๆ ยิ่งแข่งยิ่งตลาดเยอะ เพราะว่าต่างคนต่างโฆษณาต่างคนขยายขยายฐานลูกค้านะครับ

การทำธุรกิจเนี่ยต้องอย่าไปคิดว่าเราต้องเป็นศัตรูคนนั้นคนนี้สู้เราเป็นเพื่อนดีที่สุด อันนี้ก็อยากให้สังคมไทยคิดอย่างนี้เป็นอย่างนี้ผมเลยเล่าเรื่องการตั้งก๊วนของผมให้ฟังนะครับ เมื่อก่อนนี้ก่อนนะผมจะเริ่มตั้งก๊วน ผมเป็นนักธุรกิจ ตอนนั้นเป็นเรื่องที่…ขอโทษ…โทษนะครับ ปากกัดตีนถีบ ยังไม่มีตังค์กู้แบงค์ แบงค์ก็ไม่ให้กู้เพราะไม่มีไม่มีอะไรไปจำนองจำนำแบงค์

ก็ใช้วิธีการเล่นแชร์ซึ่งคนจีนสมัยนั้นนักธุรกิจสมัยนั้นจะรวมตัวตั้งแชร์ ตอนนี้เหลือน้อยก็มีบ้างแต่น้อย เพราะว่าแหล่งกู้เงินมันมีมากกว่าเดิม เดิมมันไม่มีแหล่งกู้ก็ใช้เพื่อนฝูงรวมกัน ใครเปียให้ดอกเบี้ยสูงกว่านั้น เอาไปใช้ทุกคนก็มาลงขันกันทุกรอบใครเปียได้คนนั้นไปใช้แล้วก็ผลัดกันไปผลัดกันไป มันก็ผลัดกันเอาเงินกองกลางมาวางไว้นะครับ สมมุติว่าเดือนละแสนก็ 10 คนก็ 1 ล้านมาวางไว้ ใครเปียดอกเบี้ยสูงก็ไปกินเอาไปบริหารทำมาหากิน เดือนต่อไปอีกคนนึงเปียได้ แล้วคนที่เอาไปล้านนึงต้องเอามาใช้แสนนึงเค้าเรียกว่าเล่นแชร์

การเล่นแชร์กันในหมู่คนจีนเยอะพ่อค้าจีนเพราะว่าจะได้เอาเงินมาให้เหมือนกับมาลงกองทุนเพื่อให้เพื่อนผลัดกันเอาไปทำมาหากินกันเองนะครับ ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดการเกิดเป็นพันธมิตรทางการค้ากันเป็นเพื่อนฝูงกันคุยกันรู้เรื่องกู้ยืมเงินกันได้นั่นคือในอดีตซึ่งผมก็คิดว่าสมัยนี้มันมีน้อยไปหน่อย เลยคิดว่าโดยเฉพาะคนที่ไปเรียนในโครงการต่างๆเช่นไปเรียน RE บ้าง ไปเรียน Next tycoon บ้างอะไรบ้าง ก็มีเพื่อนมีก๊วนเนี่ยถ้าหากว่าจะคบกันติดต่อกันเป็นก๊วนกันในเชิงของธุรกิจก็จะทำให้คนทุกคนมีโอกาสทางธุรกิจ

เอาเรื่องโบราณโบราณเรื่อง 1 สมัยพ่อผมเนี่ย พ่อผมไปทำร้านกาแฟอยู่หัวมุมในตลาดที่จะเข้าตลาดสันกำแพงอยู่บ้านนอกเนี่ย ก็พ่อผมขายกาแฟตอนเช้าก็จะให้ร้านแขกขายโรตีมาทำโรตีขายอยู่หน้าบ้าน หน้าร้านกาแฟ อีกข้างนึงก็จะมีคนจีนทําปาท่องโก๋ขาย ปรากฎว่ากาแฟที่บ้านพ่อผมก็ขายดิบขายดีเพราะว่าคนอยากมากินปาท่องโก๋อยากมากินโรตีก็กิน ก็กินทั้งโรตีปาท่องโก๋ก็ขายกาแฟไป ช่วงนั้นเป็นร้านกาแฟร้านเดียวที่คนแน่นไปหมดนั่นก็คือว่ารู้จักทำ alliance หรือพันธมิตรทางธุรกิจ หรือเป็นการเสริมพลังกัน Synergy กัน

ผมไม่มีปาท่องโก๋ขาย แต่ผมมีกาแฟขายก็มาเสริมพลังกันเป็นทั้ง Synergy เป็น Business alliance เป็นธุรกิจที่เป็นพันธมิตรกัน ตอนกลางวันพ่อผมก็ให้รถเข็นก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อมาขาย จนทำให้ผมเนี่ยทุกวันนี้ชอบกินแต่ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น เนื้อปาท่องโก๋ โรตีอยู่นั่นแหละเพราะมันกินตั้งแต่เด็กๆ

นั่นคือสิ่งที่เอาธุรกิจที่เก่าๆมาปรับประยุกต์กับธุรกิจที่วิธีคิดใหม่ๆ เทคโนโลยีก็ดีตลาดที่มันกว้างไกลกว่าเดิมก็ดีมันจะทำให้นักธุรกิจเราเนี่ยแข็งแรงขึ้นที่พูดอย่างนี้ก็เลยอยากจะแนะนำให้ทุกคนได้ว่า เราทำธุรกิจเราต้องสร้างมิตรมากกว่าสร้างศัตรูเราต้องคิดว่าในประเทศนี้เรามีเพื่อนเยอะๆรวมกันให้แข็งแรงแล้วตลาดมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆตลาดต่างประเทศตลาดภูมิภาคมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการที่เรามีเพื่อนมี Connection เป็นเรื่องที่สำคัญ

แล้วนี่นะครับ know how สำคัญมากแต่ know who ยิ่งสำคัญกว่าเพราะฉะนั้นถ้ามีเพื่อน มี Connection มีเครือข่ายมีการประสานงานติดต่อข้ามประเทศอะไรบ้างเนี่ยก็จะทำให้ธุรกิจและแข็งแรง

เพราะฉะนั้นก็วันนี้ก็เลยอยากจะมาแนะนำว่าการทำธุรกิจยุคนี้อย่าไปคิดว่าคู่แข่งขันคือศัตรู เราต้องคิดว่าคู่แข่งขันคือผู้ที่จะต้องร่วมมือกันในการไปแข่งในพื้นที่อื่นบ้างหรือในการที่จะค้าขายร่วมกันบ้างนะครับ

ฝากแนะนำให้ท่านทั้งหลายว่าธุรกิจยุคนี้สร้างเพื่อนเถอะครับ สร้างเพื่อนเยอะๆแล้วเราจะแข็งแรงครับขอให้โชคดีในปี 1920 ความผันผวนทางเศรษฐกิจ สาธุอย่าให้มี แต่ถ้ามีแล้วก็ขอให้นักธุรกิจไทยอยู่รอดปลอดภัยทุกคนครับขอบคุณครับ สวัสดีครับ


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"