นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักษาชาติ(ทษช.) และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้สมัครส.ส.พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ได้รับเชิญร่วมดีเบตเลือกตั้ง ในรายการต่างคนต่างคิด ช่องอมรินทร์ทีวี  โดยมีนายพุทธอภิวรรณ องค์พระบารมี เป็นผู้ดำเนินรายการ

โดยช่วงหนึ่งของการดีเบต  ผู้ดำเนินรายการ ถามว่า  จริงๆ แล้วคุณสุภรณ์กับคุณณัฐวุฒิความเป็นเพื่อนยังมีอยู่ไหม

สุภรณ์ : เหมือนเดิม รักเหมือนเดิม เพราะเราเนี่ยอยู่กันมา รักกันมาตั้งแต่ยังไม่เข้าสู่ทางการเมือง ความเป็นเพื่อนยังไงก็เพื่อน ความเป็นพี่น้องยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถ้าวันหนึ่งพรรคพลังประชารัฐบอกว่าเราก้าวข้ามความขัดแย้ง เราไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งเกิดขึ้นในบ้านในเมือง ผมไม่มีปัญหานะ ส่วนตัวผมตัวเล็กในพรรค ถ้าวันหนึ่งถ้าเห็นว่าพรรคไทยรักษาชาติ พรรคเพื่อชาติ หรือพรรคเพื่อไทย อะไรแล้วแต่ จะมาร่วมกันเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง ความปรองดองให้บ้านเมือง มาร่วมกันทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมือง ส่วนตัวผม ผมไม่มีปัญหานะครับ

ผู้ดำเนินรายการ: มีปัญหาไหมผมถาม เริ่มต้นตรงนี้ก่อนจะคุยลึกไปกว่านี้

ณัฐวุฒิ: ในทางส่วนตัวก็ยังเป็นมิตรภาพอย่างที่คุณสุภรณ์พูด เพราะว่าเราคบหาร่วมเส้นทางกันมายาวนาน แล้วก็มีประสบการณ์ต่างๆ นาๆ ร่วมกันมากมาย แต่ทางการเมืองเราแยกขาดจากกัน ตั้งแต่คุณสุภรณ์ไปอยู่ร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ แล้วก็ต้องพูดกันเสียให้ชัดว่าในอนาคตหลังการเลือกตั้ง ผมก็จะไม่ร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐอย่างแน่นอน

ผู้ดำเนินรายการ: ก้าวข้ามความขัดแย้งไม่ได้เหรอณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

ณัฐวุฒิ: ผมไม่สามารถก้าวข้ามหลักการประชาธิปไตยไปจับมือกับพรรคพลังประชารัฐได้

ผู้ดำเนินรายการ:ใครต้นเหตุรัฐประหารกันแน่?

ณัฐวุฒิ: ผมเชื่อว่าการรัฐประหารคราว พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้า ก็มีนายทหารใหญ่ในคณะปัจจุบันนี้แหละครับมีบทบาทร่วมอยู่ด้วย แล้วตลอดเวลาตั้งแต่การยึดอำนาจปี 2549 จนถึงวันนี้ ก็ยังอยู่ภายใต้เครือข่ายอำนาจของบุคคลกลุ่มนี้อยู่เช่นเดียวกัน จะบอกว่าท่านไม่เกี่ยว จะไปบอกว่านักการเมืองขัดแย้งกันเอง แล้วท่านเข้ามาแก้ปัญหาเนี่ย ผมไม่เชื่อข้อมูลนี้

สุภรณ์: ถามว่าวันนี้ถ้าเกิดว่า 2 พรรคการเมืองใหญ่ ไม่เอาประชาชนมาสู้กันเนี่ย ผมว่าทหารก็ไม่มีทางที่จะมาสมคบคิดอย่างที่ณัฐวุฒิว่าได้เลย ทหารก็ไม่มีทางที่จะออกมายึดอำนาจได้เลย ถ้าการเมืองมันแข็งแรง การเมืองมันมั่นคง ไม่มีม็อบข้างถนนทั้ง 2 ฝ่ายเนี่ย โดยพรรคการเมือง นักการเมืองหนุนหลัง ผมว่าทหารก็ทำอะไรเราไม่ได้ครับ

ผู้ดำเนินรายการ: รัฐบาลไหนทำเศรษฐกิจตก

ณัฐวุฒิ: ก็ 5 ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน เราปกครองด้วยระบอบเผด็จการ ประชาชนลำบากยากแค้นทางเศรษฐกิจ ปัญหายาเสพติดกระจายไปทุกหย่อมหญ้า ระบบกลไกการตรวจสอบทุจริตคอร์รัปชั่นของอำนาจรัฐไม่สามารถทำงานได้จริง

ผู้ดำเนินรายการ : ไม่เรากำลังพูดถึงตอนนี้ไงครับ ตอนที่เลือกตั้ง ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ กลับมา ทำไมครับ

ณัฐวุฒิ: ก็ท่านจะเป็นต่อ ความเสียหายที่มันเกิดขึ้นตลอด 5 ปี มันก็จะยิ่งหนักขึ้นไปอีก

สุภรณ์: ผมขออนุญาตอย่างนี้นะว่า ครับ โอเค ท่านณัฐวุฒิ ผมกลับมองว่าตอนนั้นก่อนที่จะทะเลาะกันจะมีปัญหาบ้านเมืองเนี่ย พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เกี่ยว ท่านมา มาห้ามทัพ พอมาห้ามทัพแล้วท่านมาเป็นนายกรัฐมนตรี บ้านเมืองเกิดความมั่นคงไม่มีทะเลาะเบาะแว้ง ไม่แตกแยกนะครับ แล้วเมื่อถามว่าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นนายกรัฐมนตรีเนี่ย การทุจริตมันลดน้อยลงไปไหม มันไม่ได้เสียหาย เศรษฐกิจมันก็เป็นภาพที่อาจจะมองว่ารัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง มาจากการยึดอำนาจ การลงทุน การค้าการขาย การสนองต่อการลงทุนเนี่ยมันอาจจะน้อยลงไปเรื่องของต่างชาติ แต่อย่าลืมนะว่าวันนี้ท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นนายกรัฐมนตรีเนี่ย นักท่องเที่ยวมาเกือบ 4 ล้านคน

ผู้ดำเนินรายการ: ยุคไหนเผด็จการกว่ากัน

สุภรณ์: ที่ณัฐวุฒิพยายามจะเน้นบอกว่าสืบทอดอำนาจเผด็จการ ผมมองที่ผ่านมาเนี่ย ผมบอกแล้วว่าอดีตเนี่ย เผด็จการรุนแรงยิ่งกว่านี้อีก ผมกล้าเลย ผมเป็น ส.ส. บางครั้งเนี่ยผมจะคิดด้วยตัวผมเองว่าผมจะลงมติสวนกลับมติของพรรค ผมยังสวนไม่ได้เลย ในสมัยนั้นๆ เนี่ย พรรคการเมืองเนี่ยแหละครับ เผด็จการยิ่งกว่าสมัยรัฐบาลปัจจุบันนี้อีกด้วยซ้ำไป มติออกอย่างไรต้องไปอย่างนั้น ใครไม่ปฏิบัติตามมติไม่ส่งลง ส.ส. เผด็จการรัฐสภา คุณณัฐวุฒิบอกว่าเป็นประชาธิปไตย ถามว่าความเป็นประชาธิปไตยในนัยยะของคุณณัฐวุฒิจะเกิดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นมากมายทั้งแผ่นดิน โครงการใหญ่ๆ เสียหายมากมายมหาศาล แต่ถ้าเท้าความไปในอดีตหนักยิ่งกว่าสมัยที่จะเลือกตั้ง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีก หนักกว่าอีกครับ

ผู้ดำเนินรายการ: มีอะไรจะอธิบายหน่อยไหม

ณัฐวุฒิ: ผมไม่ยอมรับวาทกรรมว่าเผด็จการรัฐสภา เผด็จการรัฐสภาไม่มีอยู่จริง