มอบรางวัล 9 กองทุนสวัสดิการชุมชนดีเด่นปี 2562 ตามแนวคิด ‘อ.ป๋วย  อึ๊งภากรณ์’  ‘หม่อมอุ๋ย’ ชูกองทุน สวด.ไทยดีที่สุดในโลก  จัดตั้งแล้ว 6,000  กองทุน  มีเงิน 15,000 ล้านบาท


เพิ่มเพื่อน    

 

ธนาคารแห่งประเทศไทย /  มอบรางวัลกองทุนสวัสดิการชุมชนดีเด่นปี 2562 ตามแนวคิด อ.ป๋วย  อึ๊งภากรณ์  ‘จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน’  เพื่อสนับสนุนการจัดสวัสดิการสังคมให้แก่ประชาชนทุกเพศวัย  โดยมี 9 กองทุน สวด.ทั่วประเทศที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในแต่ละประเภท   ด้าน ‘หม่อมอุ๋ย’ ชูกองทุน สวด.ไทยดีที่สุดในโลก โดยชาวบ้านบริหารจัดการเอง  จัดตั้งแล้วกว่า 6,000 กองทุน  มีเงินรวมกันกว่า 15,000 ล้านบาท

 

เมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา  ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิด ศ.ดร.ป๋วย  อึ๊งภากรณ์  (อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)  สถาบันป๋วย  อึ๊งภากรณ์  และสถาบันพันธมิตรได้ร่วมกันจัดพิธีมอบรางวัล “ธรรมาภิบาลดีเด่นแห่งปี 2562”  ขึ้นที่ธนาคารแห่งประเทศไทย  บางขุนพรหม  กรุงเทพฯ  เพื่อมอบรางวัลให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ยึดหลักธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจ  และกองทุนสวัสดิการชุมชนที่มีผลงานดีเด่น  “ผู้สรรค์สร้างความมั่นคงของมนุษย์” ตามแนวคิดของ ศ.ดร.ป๋วย  โดยมี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร  เทวกุล  ประธานกรรมการสถาบันป๋วยฯ และอดีตรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน    มีผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดประมาณ 400 คน

 

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร  เทวกุล   (ขวา)

 

 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร  เทวกุล   ประธานกรรมการสถาบันป๋วย  อึ๊งภากรณ์  กล่าวว่า  การมอบรางวัลป๋วย  อึ๊งภากรณ์  ให้แก่กองทุนสวัสดิการชุมชนทั่วประเทศ  เป็นอีกโครงการหนึ่งที่มีความสำคัญมาก  เพราะสถาบันพันธมิตรต่างๆ พิจารณาเห็นว่าเป็นกองทุนที่ก่อตั้งขึ้นโดยปราชญ์ชาวบ้านและผู้นำท้องถิ่น  ที่รวมตัวกันเพื่อดูแลช่วยเหลือสมาชิกในชุมชนกันเอง  เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  เนื่องจากชาวชุมชนส่วนใหญ่เป็นแรงงานภาคเกษตรและแรงงานนอกระบบประกันสังคม  ไม่มีสวัสดิการเหมือนข้าราชการหรือพนักงานบริษัท   ดังนั้นจึงสมควรยกย่องเชิดชูเกียรติกองทุนสวัสดิการชุมชนเหล่านี้ที่เป็นแบบอย่างของสังคมไทยและสังคมโลกในการช่วยเหลือตัวเอง  โดยไม่ได้รอความช่วยเหลือจากรัฐบาลแต่เพียงอย่างเดียว

 

“ผมมีความเห็นว่ากองทุนสวัสดิการชุมชนของประเทศไทยดีที่สุดในโลก  เพราะมีการช่วยเหลือดูแลสมาชิกที่โดดเด่นหลายด้าน  หลายอย่าง  โดยเฉพาะกองทุนสวัสดิการที่ได้รับรางวัลในปีนี้  และขณะนี้เงินวันละบาทที่สมาชิกสมทบเข้ากองทุนสวัสดิการชุมชนทั่วประเทศมีประมาณ 5,962  กองทุนฯ  แม้ว่าจะใช้ไปเพื่อช่วยเหลือสมาชิกในด้านต่างๆ แล้ว  ยังมีเงินเหลืออยู่อีกประมาณ 14,000 ล้านบาท  ถือว่าเป็นการบริหารจัดการที่ดีที่ชาวบ้านได้ทำกันเอง”  ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว 

 

สมชาติ  ภาระสุวรรณ (กลาง)

 

นายสมชาติ ภาระสุวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2562 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณจำนวน 461 ล้านบาท เพื่อสมทบเงินเข้ากองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลทั่วประเทศจำนวน 1,700 กองทุน โดยมีสมาชิกที่จะได้รับผลประโยชน์จำนวน 1,150,000 คน  นอกจากนี้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และเครือข่ายสวัสดิการชุมชน ส่งเสริมการพัฒนาระบบสวัสดิการชุมชนให้มีความเข้มแข็ง   มีการบริหารจัดการที่ดี  มีธรรมาภิบาล  และจัดสวัสดิการให้ครอบคลุมประชาชน  ทุกกลุ่ม  ทุกเพศวัย  เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและสอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป

 

นายมณเฑียร สอดเนื่อง ผู้แทนเครือข่ายกองทุนสวัสดิการชุมชน กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนสวัสดิการชุมชนระดับตำบลและเทศบาล  มีการจัดตั้งขึ้นทั่วประเทศแล้วประมาณ 6,000 กองทุน จากจำนวนตำบล/เทศบาลทั่วประเทศประมาณ 7,700 แห่ง มีสมาชิกรวมกันประมาณ 5.5 ล้านคน มีเงินกองทุนรวมกันประมาณ 15,000 ล้านบาท บางกองทุนมีเงินสวัสดิการมากกว่า 10 ล้านบาท และสามารถนำมาจัดสวัสดิการช่วยเหลือสมาชิกได้ 30-40 เรื่อง

 

“กองทุนสวัสดิการชุมชนใช้เงิน 1 บาทที่มาจากการสมทบของสมาชิกอย่างมีพลัง เป็นระบบสวัสดิการชุมชนที่ประชาชนทำร่วมกัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม ซึ่งวันนี้กองทุนสวัสดิการชุมชนเดินหน้ามาไกลแล้ว เราจึงต้องยกมาตรฐานของกองทุน และมีเป้าหมายที่จะขยายกองทุนสวัสดิการชุมชนให้เต็มประเทศภายใน 5 ปีนี้” นายมณเฑียรกล่าว

 

นายมณเฑียรกล่าวด้วยว่า  เมื่อเร็วๆ นี้เครือข่ายกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลทั่วประเทศได้จัดกิจกรรมเชิญพรรคการเมืองต่างๆ ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งให้มารับฟังข้อเสนอของภาคประชาชนเพื่อนำไปเป็นแนวทางในการบริหารประเทศ ดังนี้ 1.สนับสนุนให้ระบบสวัสดิการชุมชนเป็นอีกระบบหลักของระบบสวัสดิการสังคมในประเทศไทย 2.ให้รัฐบาล องค์กรปกครองท้องถิ่น และภาคเอกชน มาหนุนเสริมภาคประชาชน เพื่อให้เป็น 4 พลังหลักในการจัดสวัสดิการชุมชน ทั้งด้านความรู้และงบประมาณ 3.สนับสนุนให้ระบบสวัสดิการชุมชนเป็นยุทธศาสตร์จังหวัด เพราะหลายจังหวัดไม่มียุทธศาสตร์ด้านสังคม หรือด้านกองทุนสวัสดิการ 4.สนับสนุนให้กองทุนสวัสดิการชุมชนเป็นแกนกลางหรือเชื่อมประสานกองทุนต่างๆ ในพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาชุมชน และ 5.สนับสนุนให้เกิด พ.ร.บ.ส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม (ฉบับที่.....) พ.ศ.................เพื่อให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล สามารถขยายขอบเขตการทำงานและทำธุรกรรมต่างๆ ได้

 

 

ส่วนการประกาศผลการพิจารณารางวัล “ผู้สรรค์สร้างความมั่นคงของมนุษย์” ปี 2562  ตามแนวคิดของ ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในปีนี้มีกองทุนสวัสดิการชุมชนทั่วประเทศส่งผลงานเข้าประกวดทั้งหมด 44 กองทุน (ปิดรับสมัครภายในเดือนตุลาคม 2561 และพิจารณารางวัลในเดือนมกราคม 2562)  มีรางวัลทั้งหมด 10 ประเภท  โดยมีกองทุนที่ได้รับรางวัลต่างๆ 9 กองทุน  ดังนี้

1.ด้านการสร้างครอบครัวอบอุ่น (ทุกช่วงวัยและเพศสภาพ) ให้มีคุณภาพชีวิต และคุณค่าในสังคม ได้แก่ กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลโคกกลาง อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์

2. ด้านการส่งเสริมสุขภาพ การรักษา ดูแล ป้องกัน สุขภาวะในชุมชน กองทุนสวัสดิการชุมชนเทศบาลตำบลหาดท่าเสา อ.เมือง จ.ชัยนาท

3. ด้านการพัฒนาเด็กเยาวชน และการเรียนรู้ เพื่อการเติบโตเป็นคนดี และมีคุณภาพ กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลตำหนักธรรม อ.หนองม่วงไข่ จ.แพร่

 4.ด้านการพัฒนาอาชีพ ทั้งในระดับครัวเรือน กลุ่มและชุมชน และการแก้ปัญหาหนี้สิน กองทุนสวัสดิการชุมชน กองทุนสวัสดิการภาคประชาชนตำบลรมณีย์ อ.กะปง จ.พังงา

5.ด้านการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์พลังงาน การจัดการขยะการจัดการและฟื้นฟูภัยพิบัติ กองทุนสวัสดิการชุมชนเทศบาลตำบลศรีถ้อย อ.แม่ใจ จ.พะเยา

6.ด้านการจัดการ/จัดสรรที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย พอเพียงต่อการดำรงชีพ กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลคลองหินปูน อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว

7.การสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและความหลากหลายทางชีวภาพ ไม่มีกองทุนที่ได้รับรางวัล

8.ด้านการบริหารจัดการกองทุนที่ดี และมีธรรมาภิบาล กองทุนสวัสดิการชุมชนเทศบาลตำบลฉวาง   อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช

9.ด้านผลงานการจัดสวัสดิการชุมชนแบบองค์รวม หลายมิติ สามารถเชื่อมโยง/บูรณาการทรัพยากรจากหลากหลายแหล่งเพื่อแก้ไขปัญหาของสมาชิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลริมกก อ.เมือง จ.เชียงราย

10. ด้านการฟื้นฟูระบบคุณค่าทางวัฒนธรรม เพื่อการอยู่ร่วมกัน การช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่างกลุ่ม และภาคี นำไปสู่การแก้ไขปัญหาของชุมชนท้องถิ่น และสังคม กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลดอกคำใต้ อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา

 

 

การจัดประกวดรางวัลกองทุนสวัสดิการชุมชนดีเด่นตามแนวคิด ศ.ดร.ป๋วย เริ่มจัดครั้งแรกในปี 2558 และจะจัดขึ้นทุกปี โดยในปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 4 องค์กรที่ร่วมจัด 7 องค์กร  ประกอบด้วย  สถาบันป๋วย  อึ๊งภากรณ์  วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทยฯ คณะอนุกรรมการส่งเสริมองค์กรสวัสดิการชุมชนฯ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) เครือข่ายสวัสดิการชุมชน  และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)

มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ยกย่อง เชิดชู องค์กร/กองทุนสวัสดิการชุมชนที่ดำเนินการงานช่วยเหลือ ดูแลคุณภาพชีวิตคนในชุมชนอย่างโดดเด่นในด้านต่างๆ 2.เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของกองทุนสวัสดิการชุมชนในพื้นที่ จังหวัด ภาค และประเทศ และขยายผลกองทุนฯ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ 3.เพื่อกระตุ้นให้รัฐบาล ภาคเอกชน และสังคม ตระหนักถึงคุณค่าของแนวคิดเรื่อง “คุณภาพชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” และนำไปสู่การพัฒนาระบบปฏิบัติการด้านสวัสดิการให้ประชาชนเข้าถึงและเหมาะสมต่อไป

 

แนวคิด “คุณภาพชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” เป็นบทความภาษาอังกฤษขนาด 2 หน้า ที่ ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย  ได้เสนอบทความชิ้นนี้ในที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาการพัฒนาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเดือนตุลาคม 2516 หลังจากนั้นจึงได้มีการแปลและเผยแพร่บทความนี้ออกไปอย่างกว้างขวาง เนื้อหากล่าวถึงความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่ควรจะได้รับบริการสวัสดิการจากรัฐ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา จนกระทั่งเสียชีวิต

 

ศ.ดร.ป๋วย   เกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2459 เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (พ.ศ.2502-2514) และอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (พ.ศ.2517-2519) ได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ สมถะ มีผลงานด้านการบริหารที่โดดเด่นหลายด้าน ทั้งด้านการเงิน การคลัง งานวิชาการ ได้รับรางวัลแมกไซไซสาขาบริการสาธารณะในปี 2508 เป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย รวมทั้งโครงการพัฒนาชนบทอื่นๆ อ.ป๋วยเสียชีวิตเมื่อ 28 กรกฎาคม 2542 รวมอายุได้ 83 ปี

 

แม้ว่า อ.ป๋วยจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่แนวคิดเรื่องสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับทุกคน โดยเฉพาะประชาชนคนยากจนที่ไม่มีระบบสวัสดิการของรัฐมารองรับ ได้ถูกนำมาเป็นแนวทางในการทำงานเพื่อจัดสวัสดิการให้แก่ประชาชนในชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศตั้งแต่เกิดจนถึงตาย มีการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการอย่างเป็นระบบในปี 2547 ในชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ โดยมีหลักการให้สมาชิกสมทบอย่างน้อยวันละ 1 บาท รัฐร่วมสมทบ 1 บาท และองค์กรปกครองท้องถิ่น สมทบ 1 บาท แล้วนำเงินกองทุนมาช่วยเหลือสมาชิก

 

กองทุนสวัสดิการเยี่ยมผู้ป่วย

 

เช่น คลอดบุตร 500 บาท, เจ็บป่วยช่วยค่ารถหรือรักษาพยาบาลครั้งละ 100 บาท ปีหนึ่งไม่เกิน 10 วัน, กรณีเสียชีวิต เป็นสมาชิกครบ 6 เดือนช่วย 3,000 บาท ครบ 1 ปีช่วย 5,000 บาท และครบ 3 ปีช่วย 10,000 บาท นอกจากนี้ยังมีทุนการศึกษาเด็ก ช่วยคนพิการ ยากไร้ ฯลฯ บางกองทุนช่วยเหลือเรื่องอาชีพ ที่ดินทำกิน แก้ปัญหนี้สินให้สมาชิก และยังขยายไปทำเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ การอนุรักษ์พลังงาน การจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม การดูแลสุขภาพ เพื่อให้สมาชิกและชาวชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"