คั่นบรรยากาศก่อนเข้าคูหากาบัตร


เพิ่มเพื่อน    

                                                         (1)

                อาทิตย์นี้...ตรงกับวันเลือกตั้งพอดิบ พอดี หลังจากอ่าน หรือไม่อ่านข้อเขียนชิ้นนี้ ก็คงได้เวลาประแป้ง แต่งตัว ออกไป เข้าคูหากาบัตร กันตามเขตเลือกตั้งในแต่ละเขต และนั่นก็อาจส่งผลให้ต้องชุลมุน ชุลเก กันพอประมาณ ไม่ว่าจะปริมาณรถราในท้องถนน ที่อาจต้องติดแหง็ก ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ค่อยถนัด ไม่ต่างไปจากวันปกติ หรือการหาที่จอดรถตามตรอก ซอกซอย อาจยาวเหยียดกันไปชนิดสามบ้าน แปดบ้าน...

                                                        (2)

                และก็น่าจะเป็นปกติของผู้ที่อุตส่าห์ลงทุนอาบน้ำ แต่งตัว ออกมานอกบ้าน หลังเสร็จกิจธุระจากการเข้าไปใช้สิทธิ์ ใช้เสียง แค่ไม่กี่ชั่วโมง หรือไม่กี่นาที จากนั้น...คงต้องหากำไรเล็กๆ น้อยๆ ด้วยการแวะโน่น แวะนี่ ไม่ว่าจะโดยการเดินเล่นตามศูนย์การค้า ที่พอช่วยให้หายร้อน คลายร้อนได้เป็นอย่างดี หรือไม่ก็ต้องแวะไปตามร้านอาหาร ภัตตาคาร ถือโอกาสสังสรรค์ เสวนา กันในหมู่ พ่อ-แม่-ลูก คุณปู่-คุณย่า คุณตา-คุณยาย ไปจนถึงอาก๋ง อาม่า ฯลฯ ที่นานๆ ทีถึงได้มีโอกาสเจอกันพร้อมหน้า พร้อมตา และก็ด้วยอะไรต่อมิอะไรทำนองนี้นี่แหละ ที่คงต้องส่งผลให้เกิดอาการแย่งกันกิน แย่งกันใช้ อุตลุด ชุลมุน กันจนผู้ที่ประสงค์จะไป นิพพาน คงต้องหาทางเลี่ยงๆ เอาไว้ก่อน...

                                                     (3)

                คือคงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า...ชีวิตของความเป็นคฤหัสถ์ โดยเฉพาะคฤหัสถ์ที่ต้องไหลมารวมกระจุกกันอยู่ใน เมือง แต่ละเมืองนั้น ยังไงๆ...มันย่อมหนีไม่พ้นความสับสน วุ่นวาย ความชุลมุน ชุลเก อันเป็นลักษณะเฉพาะของสิ่งที่เรียกว่าเมืองอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ ยิ่งถ้าหากเป็นเมืองระดับใหญ่ๆ ระดับซูเปอร์ ซิตี้ อย่าง กทม.เมืองที่คนตกท่อ ของบ้านเราด้วยแล้ว แค่โผล่หัวออกมานอกบ้าน ไม่ว่าวันไหนต่อวันไหน หยุดราชการ หรือไม่หยุดราชการ โอกาสต้องเจอกับ มารผจญ ตามถนนหนทาง ตามร้านอาหาร ศูนย์การค้า หรือแม้กระทั่งที่ทำงาน จนยากซ์ซ์ซ์เหลือเกินที่จะหาความสว่าง สะอาด ความสงบ ความเย็น ได้ง่ายๆ...

                                                       (4)

                และอาจด้วยเหตุทำนองนี้นี่แหละ...ที่อภิมหาบุรุษ อย่างท่าน มหาตมะ คานธี ท่านถึงได้พูดๆ ไว้นับตั้งแต่เมื่อเกือบศตวรรษที่แล้ว ว่า พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงสิงสถิตอยู่ในเมืองใหญ่ แบบคล้ายๆ ที่ หลวงพ่อคูณ ท่านเคยบอกๆ เอาไว้ว่า ยังไงๆ ท่านคงไม่คิดสิงสถิตอยู่กับวัตถุบูชา กับ เหรียญหลวงพ่อคูณ รุ่นไหนต่อรุ่นไหนโดยเด็ดขาด เพราะถ้ามึงเหยียบ (ขับรถ) เกินร้อย...กูคงต้องโดดหนีตั้งแต่หกสิบกว่าๆ อยู่แล้วแน่ๆ อะไรทำนองนั้น การใช้ชีวิตอย่างคฤหัสถ์อยู่ภายในเมืองใหญ่ๆ จึงออกจะเป็นอะไรที่เป็นอุปสรรค ต่อการแสวงหาความสงบ ความเย็น หรือ ความรู้ ในเรื่องราวของชีวิต อยู่พอสมควรเหมือนกัน...

                                                       (5)

                แต่ก็นั่นแหละ...การลา-ละ-สละ สถานะความเป็นคฤหัสถ์ ความเป็น ผู้ครองเรือน แยกตัวเองออกไปเรียนรู้ แสวงหาความรู้ อันจะนำมาซึ่งความสงบ ความเย็น ความสว่าง สะอาด ชนิดยกระดับขึ้นไปสู่ความเป็น วานปรัสถ์ หรือความเป็น สันยาสี ประเภทนักบวช นักพรต หรือฤาษี ชีไพร กันเลยนั้น เอาเข้าจริงๆ แล้ว...มันก็ออกจะ ยากซ์ซ์ซ์ฉิบหาย อยู่เหมือนกัน ด้วยเหตุเพราะวิถีชีวิตของผู้คนในโลกยุคใหม่ สมัยใหม่นั้น มันค่อนข้างมีอะไรที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน มีสายใยรึงรัด ผูกพัน ระดับตัดไม่ได้ขายไม่ขาดเอาง่ายๆ...

                                                      (6)

                แม้ประเภทที่คิดจะเป็น วานปรัสถ์ชั่วคราว หรือ สันยาสีชั่วคราว คือหลบไปนั่งปฏิบัติธรรมอยู่ตามป่า ตามเขา ตามรีสอร์ตต่างๆ ทั้งหลาย ประมาณซัก 3 วัน 7 วัน จากนั้น...ค่อยกลับมาสิงสถิตอยู่ในบ้าน ในเมือง เป็นการถาวรต่อไป หลายต่อหลายคนมักออกอาการ เพี้ยนๆ ให้เห็นอยู่บ่อยๆ คืออาจด้วยเหตุเพราะต้องใช้ชีวิตแบบ ครึ่งบก-ครึ่งน้ำ แบบอยากอยู่ทั้งใน สวรรค์ และอยากอยู่ต่อไปใน โลก ตอนไปนั่งหลับตา หายใจเข้า-หายใจออกอยู่ตามรีสอร์ต อาจดูสงบ ดูเย็น อยู่บ้างนิดๆ แต่พอกลับมาเห็นบ้านช่องสกปรก รกรุงรัง ก็ดันหันมาตวาดคนใช้ ชนิดไวปากเสียศีล ไวตีนตกต้นไม้ เอาดื้อๆ...

                                                       (7)

                ด้วยเหตุนี้...การแสวงหาความสว่าง สะอาด ความสงบเย็น หรือการแสวงหา ความรู้ ในเรื่องราวของชีวิต สำหรับโลกยุคใหม่ สมัยใหม่นั้น มันออกจะเป็นอะไรที่คงต้องหาทาง พลิกแพลง กันเอาเอง และสุดท้ายแล้ว...มันคงขึ้นอยู่ที่ ใจ ของแต่ละปัจเจกบุคคลนั่นแหละเป็นด้านหลัก ไม่ต่างไปจากเรื่อง การเมือง หรือ การเลือกตั้ง ที่สุดท้ายแล้ว...ไม่ว่าผู้ที่มีโอกาสมีสถานะเป็นนักการเมืองในรัฐสภา หรือไม่มีโอกาสมีสถานะเป็นนักการเมืองในรัฐสภา แต่ถ้าหาก ใจ มันไม่ได้เป็นไปเพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อส่วนรวม หรือเพื่อยังประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นแล้ว เผลอๆ...อาจสู้ปุถุชนคนธรรมดา อย่างเราๆ-ทั่นๆ ที่พร้อมสถาปนาตัวเองขึ้นเป็น นักรบ ตามโซเชียล มีเดียทั้งหลาย แทบไม่ได้เลย...

                              ----------------------------------------------------------

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"