26 มี.ค.62-  น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า จากการติดตามข่าวการจัดตั้งรัฐบาลเมื่อวานนี้ (25 มี.ค.) ตนในฐานะคนรุ่นใหม่มีความหวังในกรณีที่นักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่ได้เสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรข้างมาก แต่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไม่ได้รับเลือกตั้ง เนื่องจากความผิดปกติของกติกาการเลือกตั้งที่ออกแบบมาเพื่อการสืบทอดอำนาจ ได้ออกมาแถลงปลดล็อก ด้วยการจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแต่จะไม่เสนอตัวนายกรัฐมนตรี เพราะยอมรับว่าไม่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อีกทั้งพรรคการเมืองขวัญใจคนรุ่นใหม่ก็ออกมาแถลงว่าพร้อมร่วมรัฐบาลและให้สิทธิ์พรรคที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากเป็นอันดับหนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีถึงแม้ไม่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพราะกติกาบิดเบี้ยว ตนติดตามข่าวนี้แล้วมีความสุขและมีความหวังว่าสังคมไทยยังมีคนดีมีน้ำใจนักกีฬา มีมารยาท มีความละอาย และเป็นสุภาพชน ทำให้มองเห็นอนาคตของประเทศ

สังคมไทยไม่ใช่มีเพียงกลุ่มคนล้าหลังที่สูงวัยมีลักษณะนิสัยเผด็จการไม่ฟังใคร เอาแต่ความคิดและความต้องการและผลประโยชน์ของตนเองเป็นใหญ่ ที่มาประกาศว่า ถึงแม้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแพ้ แต่จำนวนคะแนนเสียง  Popular vote ชนะ ดังนั้นจะจัดตั้งรัฐบาลแข่งด้วยความไม่มีมารยาทและไม่มีความละอาย ทั้งที่ในรัฐธรรมนูญ 2560 ที่พวกตนเองเขียนมาไม่มีระบบ Popular vote รวมทั้งคะแนนทั้งหมดที่ได้มาก็เอาไปคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งแบบเขตและแบบบัญชีรายชื่อแล้ว แต่จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรที่ได้ยังน้อยกว่าพรรคที่ได้อันดับหนึ่ง ถ้าจะคิดจะอ้างคะแนน Popular vote อีก ต้องคิดด้วยความยุติธรรมจากสัดส่วนฐานคะแนนที่เท่ากัน คือ พรรคที่อ้าง Popular vote (พลังประชารัฐ) ส่งผู้สมัคร 350 เขต สมมุติว่าได้คะแนน 7,900,000 กว่าๆ พรรคที่ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสูงสุด (เพื่อไทย) ส่งผู้สมัคร 250 เขต ได้คะแนน 7,400,000 กว่า เมื่อคิดคะแนนเทียบจากสัดส่วนเดียวกัน คือ 350 เขตของพรรคที่ได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสูงสุดจะได้คะแนนทั้งสิ้น 10,300,000 กว่าๆ เมื่อคิดจากสัดส่วนฐานเดียวกันถึงเป็นคะแนนที่มาตรฐาน

“จากการติดตามข่าวสารการจัดตั้งรัฐบาลเมื่อวานนี้ ทำให้คิดถึงคำพูด พล.อ.ประยุทธ์ที่กล่าวก่อนเลือกตั้งไม่กี่วันว่าทำไมอยากเป็นนายกรัฐมนตรีกันนัก ฝากถามพรรคที่อยากตั้งรัฐบาลทั้งที่จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรน้อยกว่า ให้ฝากไปถามคำตอบจาก พล.อ.ประยุทธ์ด้วย” โฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าว