ว่าด้วยสงกรานต์แบบไทยๆ


เพิ่มเพื่อน    

   

                                                  (1)

                ช่วง ภาวะโลกร้อน หรือช่วงอากาศร้อนเช่นนี้...สงกรานต์แบบไทยๆ น่าจะเป็นอะไรที่ออกจะเข้าท่า เข้าทาง เป็นอย่างยิ่ง คืออย่างน้อย ก็พอช่วยให้คลายร้อน ไปพร้อมๆ กับความสดใส ซาบซ่า ความสนุกสนาน สำเริง บันเทิงใจ โดยไม่ได้ก่อให้เกิดพิษ เกิดภัย อะไรมาก โดยเฉพาะถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามวัฒนธรรม ประเพณี ไม่เกิดการแหกคอก แหกกรอบ ด้วยการไปล้วง ไปควัก จับโน่น จับนี่ แบบน่าเกลียด น่าทุเรศ จนเกินไป...

                                                        (2)

                คือไม่ว่าสงกรานต์แบบไทยๆ นั้น...มันจะมีจุดเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่ หรือแบบไหน อย่างไร อันนั้นคงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของกูรู กูรู้ทางประวัติศาสตร์ เขาจะไปวิเคราะห์ เจาะลึกกันเอาเอง แต่ถ้าจะว่ากันตามรากเหง้า ประวัติความเป็นมา ของวัฒนธรรม ประเพณีทำนองนี้ ที่อาจต้องย้อนกลับไปถึงประเทศอินตะระเดียโน่นเลย การนำเอาฝุ่น เอาแป้ง ประเภทฝุ่นสี หรือแป้งอะไรก็แล้วแต่ มาสาด มาทา กันไป-กันมา เอาไป-เอามาแล้ว...ดูจะไม่ถึงกับสดใส ซาบซ่า ชื่นอก ชื่นใจ เท่ากับการนำเอาน้ำเย็นๆ สะอาดๆ มารินรดบนหลัง บนไหล่ หรือกระทั่งมาสาดกันเป็นขันๆ เป็นโอ่งๆ หรือมาไล่ฉีด ไล่ยิง กันด้วยกระบอกฉีด ปืนฉีดน้ำ แม้อาจก่อให้เกิดความขัดอก-ขัดใจ กับผู้ที่โดนสาด โดนฉีด อยู่มั่ง แต่ก็ไม่ถึงกับเสียหาย เจ็บปวด รวดร้าว อะไรมากมายนัก...

                                                       (3)

                เพราะด้วยความเย็น ความใสสะอาดของน้ำ อย่างน้อย...ก็พอเป็นตัวช่วยให้ไม่ถึงกับต้อง หัวร้อน จนเกินไป ถึงจะเปียกๆ แฉะๆ อย่างมาก...ก็คงได้แต่บ่นพึมๆ พำ ๆไปตามเรื่อง ตามราว โดยเฉพาะเมื่อมันมี วัฒนธรรมและประเพณี มาเป็นตัวรองรับ เจตนารมณ์ หรือจุดประสงค์ในการฉีด การสาด การริน การรด ว่าไม่ได้เป็นไปในทางร้าย แต่กลับเป็นไปในทางดี ทางที่หวังจะให้ผู้อื่นเกิดความสดชื่น รื่นเริง ความสบายอก สบายใจ นั่นแหละเป็นหลัก สงกรานต์แบบไทยๆ จึงเป็นอะไรที่ผู้คนต่างบ้าน ต่างเมือง ไปจนถึงฝรั่งมังค่า ต่างติดอก ติดใจ คว้าเอาปืนฉีดน้ำ กระบอกฉีด ออกมาเดินเพ่นพ่านกันตามถนนข้าวสาร หรือตามสถานที่เล่นน้ำสงกรานต์ ชนิดไม่ไล่-ไม่เลิก เอาเลยก็ยังมี...

                                                    (4)

                การดัดแปลงเอาการสาดฝุ่น สาดสี มาประยุกต์ให้กลายเป็นการสาดน้ำ รดน้ำ ตามแบบฉบับ สงกรานต์แบบไทยๆ จึงเป็นอะไรที่สะท้อน ความเป็นไทย ได้เป็นอย่างดี คือเป็นคุณลักษณะ หรือเป็นความสามารถที่อาจติดมากับดีเอ็นเอของบรรพบุรุษตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นย่า รุ่นโคตรเหง้าสักหลาดมาโดยตลอด ที่สามารถดัดแปลงแต่ละสิ่งแต่ละอย่าง ให้เข้ากับ ความเป็นไทย ในแทบในทุกเรื่อง ทุกราว ก็ว่าได้ ขณะที่พวกฝรั่งใช้มีด กับใช้ซ่อม พอถูกดัดแปลงให้กลายเป็น ช้อน-ซ่อม แบบไทยๆ แล้ว ก็สามารถตักน้ำแกง ซดน้ำแกง ได้แบบคล่องปาก คล่องคอ ไปพร้อมๆ กับการจิ้มโน่น จิ้มนี่ ได้อย่างชนิด ลงตัว เป็นอย่างยิ่ง...

                                                      (5)

                ยิ่งเป็นประเภทอาหาร การกิน ด้วยแล้ว...ยิ่งสะท้อนคุณลักษณะของ ความเป็นไทย ให้เห็นโดยชัดเจน เรียกว่า...ไม่ว่าแกงอินตะระเดีย แกงอินโดนีเซีย ที่กินแล้วก็งั้นๆ พอมาถูกดัดแปลงใส่พริก ใส่กระเทียม ใส่กะปิ หรืออาจไปถึงใส่กัญชาเอาเลยก็ยังได้ ตามแบบฉบับไทยๆ กินเมื่อไหร่...ก็มีอันต้องซู้ดๆ ซ้าดๆ กันไปแทบทุกราย ไม่ว่าจะเป็นมัสมั่น แกงเขียวหวาน ไปจนถึง ทอม-ย่ำ-กรุง หรือ ต้มยำกุ้ง ที่ทำเอาพวกฝรั่ง ต่างมุ่งตรงมายังไทยแลนด์ แดนสยาม แทนจะหันไปหาต้นตำรับเดิมๆ ในอินตะระเดีย อินโดฯ มาเลย์ หรือกระทั่งก๋วยเตี๋ยวจีนในบางรูป บางแบบ ยังสู้ ผัดไทย ไม่ได้เอาเลยทีเดียวเจียว...

                                                        (6)

                แม้แต่ขนม นม เนย ก็เถอะ...เค้ก พุดดิ้ง พาย ของฝรั่งโปรตุเกส จะเป็นแบบไหน อย่างไรก็แล้วแต่ แต่เมื่อมาเจอกับทองหยอด ฝอยทอง ของ ท้าวทองกีบม้า ที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นขนมแบบไทยๆ ไปจนได้ ก็ต้องเรียกว่า...แทบไม่ได้มีอะไรลดน้อยถอยลงไปกว่ากัน ในแง่ความถูกลิ้น ถูกปาก ด้วยเหตุนี้...การสาดน้ำ เล่นน้ำ ตามแบบฉบับ สงกรานต์แบบไทยๆ จึงออกจะโด่งดังไปกว่าการสาดฝุ่น สาดสี ตามต้นฉบับของแท้แต่ดั้งเดิม ไม่ว่าจะเริ่มจากอินตะระเดีย หรือจากที่ไหนต่อที่ไหนก็แล้วแต่ และทำให้ ความเป็นไทยๆ นี่แหละ มันออกจะเป็นอะไรที่เอาเรื่อง เอาราว มิใช่น้อย ไม่ใช่ไม่ได้เรื่อง ได้ราว เหมือนอย่างผู้ที่เกลียดชาติ ชังชาติ เขาชอบหยิบมากล่าวหาไปในแทบทุกเรื่อง ทุกกรณี...

                                                       (7)

                ด้วยเหตุนี้...ถ้าจะมีการประยุกต์ ดัดแปลง จนก่อให้เกิด ประชาธิปไตยแบบไทยๆ หรือ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็อย่าถึงกับไปดูเบา หรือดูว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ไม่เป็นไปตามของแท้แต่ดั้งเดิม ตามแบบฉบับสากล อะไรทำนองนั้น เพราะถ้าดูให้ลึกๆ ลงไปแล้ว มันอาจเป็นอะไรที่เข้าท่า เข้าทาง สอดคล้องและเหมาะสมกับความเป็นไปของประเทศ สังคม หรือแม้แต่ของโลกเอาเลยก็ไม่แน่ โดยเฉพาะโลกที่มันกำลังเข้าสู่ช่วง กลียุค เข้าไปทุกที ยุคที่ความดีเหลือแค่ 1 ส่วน ความชั่วเพิ่มขึ้นเป็น 3 ส่วน อะไรประมาณนั้น หรือยังไงๆ...มันน่าจะดีกว่า ประชาธิปไตยฝรั่งเศส เป็นไหนๆ เพราะอย่างน้อย...ก็ไม่ถึงกับต้องลงทุนสร้างเครื่อง กิโยติน ขึ้นมารองรับความเป็นประชาธิปไตยให้เสียเวลา เสียเลือด เสียเนื้อ ไม่ว่าฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหนโดยใช่เหตุ ดังนั้น...ก็อย่าถึงกับต้องไป ดัดจริต แบบที่ท่าน ผบ.ทบ.ท่านว่าเอาไว้นั่นแหละ หันมามอง ความเป็นไทยๆ ให้ลึกๆ ซึ้งๆ ก็น่าจะพออยู่ๆ กันไปได้...

                             -------------------------------------------------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"