ความสำคัญของ “ทางสายกลาง”


เพิ่มเพื่อน    

   

                                                    (1)

                ช่วงหลังๆ นี้...แม้แต่การ แอบ เข้าไปสอดส่องความคิด ความเห็น ของพรรคเพื่อนฝูงใน เฟซบุ๊ก ซึ่งเคยเป็นอะไรที่สนุกสนานพอสมควร ก็ชักจะไม่สนุก หรือไม่ค่อยอยากเข้าไปตรวจสอบ สอดแนม อะไรต่อไปอีกแล้ว เพราะมันออกจะสวิงไป-สวิงมา หรือหนักไปทาง สุดโต่ง กันชนิดคนละด้าน สองด้าน แถมยังหนักหน่วง รุนแรง ยิ่งกว่าลูกตุ้มนาฬิกาที่แกว่งซ้าย แกว่งขวา ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า...

                                                        (2)

                ตามประสาคนแก่แล้ว ชราแล้ว...มันเลยออกจะเป็นอะไรที่น่าเหนื่อย หรือออกจะแสบตา แสบแก้วหู อยู่พอสมควร คืออะไรที่รัก ที่ชอบ มันก็ไม่น่าจะถึงขั้นต้องตามไป แหกทวารดม กันถึงขั้นนั้น และอะไรที่เกลียด ที่ไม่ชอบ อันที่จริงมันก็น่าจะเฉยๆ หรือถ้าอดรนทนไม่ได้ ก็น่าจะแค่หยิกๆ หยอกๆ เอาแค่พอเนื้อเขียวกันไปเป็นจ้ำๆ ไม่น่าจะต้องถึงกับไล่กัด ไล่ฟัด แค้นจัด-กัดดะ-ฝังเขี้ยวจมน่อง แบบชนิดกะจะเอาให้ตายให้จงได้ แต่ดูเหมือนว่า...บรรดาพรรคพวกเพื่อนฝูงจำนวนมิใช่น้อย ทั้งๆ ที่อายุ อานาม ก็น่าจะพอสมควรแล้ว แต่ออกจะฮาร์ดร็อก ออกจะเฮฟวี่ เมทัล ทั้งหนัก ทั้งแรง ทั้งสวิงไป-สวิงมา สุดโต่งกันชนิดเหมือนกับเพิ่ง ถือกำเนิด ได้หมาดๆ...

                                                     (3)

                อันนี้...มันก็เลยไม่น่า สนุก ซักเท่าไหร่ อาจด้วยเหตุเพราะว่าไอ้สิ่งที่เรียกเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือบรรดาสังคมโซเชียล มีเดีย ทั้งหลาย มันออกจะเป็นตัวส่งเสริม สนับสนุน เป็นตัวกระตุ้น อัตตา อย่างชนิดมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เอามากๆ หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ มันเลยทำให้ผู้ที่อยากให้ใครต่อใครรู้ว่า “ตัวตนของตน” นั้นมีลักษณะอย่างไร หรือผู้ที่ อยากเป็นอย่างที่คนอื่นเห็นว่าเราเป็น ชนิดไม่ว่าจะกินอะไร มื้อเช้า มื้อเที่ยง มื้อเย็น ต้องถ่ายรูปเอามาให้คนอื่นเห็น ไม่ว่าจะไปแสวงหาความสุขส่วนตัว ด้วยการเที่ยวไหน ต่อไหน ต้องไปยืนกลางทุ่งนา ทุ่งดอกไม้ ยืนหลังตึกรามอาคาร เพื่อเอามาอวด เอามาโชว์ กันอย่างเป็นกิจการ มีอย่างเดียวที่ยังไม่ได้โชว์ หรือยังไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นอะไร ก็คือเวลาตอน นั่งขี้ เท่านั้น อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่แหละ ที่มันอาจส่งผลให้ ตัวตนของตน เกิดอาการขยายตัว หรือ เขื่อง ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

                                                      (4)

                การ เขื่อง ของตัวตน-ของตน...มันเลยมีความ สัมพัทธ์ หรือปฏิสัมพันธ์กับอาการสวิงไป-สวิงมา อาการรักแรง เกลียดแรง การไหลตามไป แหกทวารดม ใครต่อใครที่ตัวเองรัก และไหลตามไป ไล่กระทืบ ผู้ที่ตัวเองไม่รัก มันจึงสะท้อนออกมาให้เห็นในสังคมโซเชียล มีเดีย ชนิดชักเป็นอะไรที่ออกจะ แสลง กับคนแก่มิใช่น้อย และเมื่อสังคมโซเชียล มีเดีย หรือสังคม โลกเสมือนจริง มันยิ่งมีปฏิสัมพันธ์กับ โลกแห่งความเป็นจริง ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนแทบแยกไม่ออกว่าโลกไหนเป็นโลกไหนกันไปแล้ว ความเป็นกลางๆ ความเป็นมัชฌิมาปฏิปทา อันเป็นสิ่งที่ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ต่อคนแก่ แต่ยังมีประโยชน์ต่อใครก็ตาม ผู้ซึ่งพยายามตั้งมั่นอยู่ใน สติ เพื่อให้เกิด ปัญญา ในการแยกแยะอะไรก็แล้วแต่ ที่ไหลเข้ามาสู่อายตนะทั้ง 5 ได้ถนัดๆ หน่อย มันเลยค่อนข้างที่จะ หายเกลี้ยง ไปจากสังคมไทยยิ่งขึ้นทุกที...

                                                       (5)

                และแน่ล่ะว่า...สังคมที่ ตึงไป หรือ หย่อนไป ล้วนแล้วแต่ต้องถือเป็น สังคมอันตราย ไปด้วยกันทั้งนั้น เพราะมันจะขาดเสียซึ่งสิ่งที่เรียกว่า สติ และ ปัญญา นั่นเอง  เป็นสังคมที่ไหวๆ วูบวาบไปตาม อารมณ์ ซะเป็นหลักใหญ่ ขึ้นอยู่กับว่าอารมณ์แต่ละอารมณ์มันจะถูก ปรุงแต่ง ไปในลักษณะไหน แม้จะปรุงแต่งไปในทางที่ดี แต่ถ้าหากมันดีเพราะ อารมณ์ ซะเป็นหลัก ไม่ได้ดีเพราะรู้แจ้ง รู้จริง ในเหตุและผล มันก็อาจออกไปทางแบบที่ อภิมหาพระ อย่าง ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านเตือนๆ เอาไว้แรงๆ นั่นแหละว่า ไม่ว่าชั่ว...หรือดี...อัปรีย์ไปด้วยกันทั้งนั้น คือมันกลายเป็นการติดดี ยึดดี จนอาจกลายเป็น ดีซ่าน เอาง่ายๆ...

                                                        (6)

                ส่วนถ้าหากมันปรุงแต่งไปในทางที่ชั่ว...ก็แทบไม่ต้องพูดถึง โอกาสที่มันจะชั่วแบบถึงเลือด ถึงเนื้อ ชั่วแบบไม่จำเป็นต้องสนใจเหตุผล ชั่วแบบไม่ต้องเสียเวลามานั่งคิด นอนคิด ชั่วไปตามอารมณ์ มันออกจะเป็นอะไรที่น่ากลัว น่าขนลุกขนพองมิใช่น้อย โดยเฉพาะสำหรับใครก็ตามที่เคยอ่าน เคยศึกษา ประวัติศาสตร์ ของแต่ละสังคมกันมาบ้าง เพราะแม้แต่สังคมที่ถือกันว่าเจริญแล้ว ผ่านอารยธรรม ผ่านความเป็น อารยชน กันมาพอสมควรแล้ว แต่บทเวลามันเกิด วิกฤติ เพราะอาการขาดสติ หรือเพราะการปรุงแต่งของอารมณ์ไปในทางที่ชั่วๆ ร้ายๆ ขึ้นมาเมื่อไหร่ มันก็แทบไม่ต่างอะไรไปจากสังคม อนารยชน หรือสังคม สัตว์ป่า เราดีๆ นี่เอง...

                                                      (7)

                อันนี้นี่เอง...ที่ทำให้ ความเป็นกลางๆ หรือความเป็น มัชฌิมาปฏิปทา จึงเป็นอะไรที่มีความสำคัญเอามากๆ และคงต้องอาศัยทั้งคนแก่ คนที่เคยผ่านประสบการณ์ชีวิตมาพอสมควร ตลอดไปจนบรรดาผู้ที่ยังให้ความสำคัญกับ สติ และ ปัญญา ทั้งหลาย จะต้องหาทางช่วยกันฟื้นฟูสิ่งที่ว่านี้ ให้มันพอเหลือๆ ติดปลายนวมเอาไว้มั่ง ไม่ว่าใน โลกแห่งความเป็นจริง หรือ โลกเสมือนจริง ก็ตาม อย่าไปไหวๆ เอนๆ ลู่ไหลไปตามลมจนเกิดอาการสวิงไป-สวิงมา เพียงเพราะ อยากจะเป็นอย่างที่ตัวเราเองอยากเป็น หรือ อยากจะเป็นอย่างที่คนอื่นเห็นว่าเราเป็น หันมาตั้ง สติ มาฟื้นฟู ปัญญา แทน อารมณ์ จนพอเห็นได้ว่า...เอาเข้าจริงๆ แล้ว เราก็เป็นได้อย่างที่ตัวเราเป็น นั่นเอง เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่าง...มันก็เป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นพรรค์นั้นแหละ...

                               -------------------------------------------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"