ฮือฮา'บิ๊กตู่'เปรียบ'การเลือกตั้ง'ไม่ต่างอะไรกับ'การเลือกกล้วย'


เพิ่มเพื่อน    

23 ก.พ. 61 -  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”  

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เนื่องในวันมาฆบูชา ซึ่งปีนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 1 รัฐบาลขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกท่าน หอบลูก จูงหลาน พาคนในครอบครัว ร่วมใจกันปฏิบัติกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ณ วัด หรือ ศาสนสถานในชุมชน ใกล้บ้าน ด้วยการทำบุญ ตักบาตร เวียนเทียน ฟังพระธรรมเทศนา รักษาศีล เจริญจิตภาวนา เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

            น้อมนำจิตใจให้ระลึกถึงคำสอน “โอวาทปาฏิโมกข์” ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประทานไว้ให้ชาวพุทธ อันเป็น “หัวใจพระพุทธศาสนา” ก็คือ “การทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจบริสุทธิ์” เพื่อเสริมสร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่ตนเอง เป็นสิริมงคลแก่ครอบ ครัว อีกทั้งจะนำพาความสงบสุข - ความรุ่งเรือง มาสู่สังคมและประเทศชาติ โดยรวมในที่สุดนะครับ

            รวมทั้งเป็นการสืบสานพระพุทธศาสนาให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ตลอดไป ทั้งนี้ ไม่ว่าศาสนาใดก็ตามนะครับ ที่ศาสนิกชนทุกท่านนับถือ ล้วนสอนให้เราทุกคนเป็นคนดี และ อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เพียงแต่เราทุกคนต้องเข้าใจคำสั่งสอนของ “องค์ศาสดา” ที่เป็นแก่นสาร ที่แท้จริง แล้วนำไปสู่การประพฤติ ปฏิบัติตน ให้ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม ทั้งในการดำรงชีวิตประจำวัน และ การประกอบสัมมาอาชีวะด้วยนะครับ

            ในการอบรมสั่งสอนลูกหลาน ตาม “ศาสตร์พระราชา” ที่ว่า “บวร คือ บ้าน - วัด - โรงเรียน” นั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบการศึกษา ที่เป็น “ไทยนิยม”  ครอบครัวไม่ควรทิ้งภาระให้โรงเรียน และ ไม่ห่างไกลศาสนา อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจคน เด็กทุกคนนะครับ ก็เปรียบเสมือน “ผ้าขาว”

            หากพ่อแม่ พี่น้อง ครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูงรวมทั้งคนในสังคม ช่วยกันรังสรรค์ แต่งเติม สีสัน ให้งดงาม เยาวชนของเรา ก็จะไม่เป็นเพียงผ้าขาว แต่จะเป็น "ผลงานศิลปะ" ที่ทรงคุณค่า แต่หากผู้ใหญ่ อาจารย์ หรือคนในสังคม ใส่ “ชุดความรู้” ที่ผิดเพี้ยน บิดเบี้ยว บิดเบือน อาจด้วยไม่รู้จริง หรือนำเฉพาะหลักวิชาการมาพูดนะครับ หรืออาจจะมีเจตนาไม่บริสุทธิ์นะครับ หวังผลร้าย ไม่เพียงแต่จะเป็นการทำร้ายเยาวชนของชาติในอนาคต แต่จะเป็นการทำลายสังคมของเราในปัจจุบันอีกด้วย

            ในการนำหลักวิชาการ - หลักสากล มาปลูกฝังเป็น "หลักคิด" ให้กับลูกหลาน นะครับ เราก็จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจ สามารถแนะนำให้ประยุกต์ใช้ อย่างเหมาะสมกับสังคมของเรา ตามหลัก “ไทยนิยม”การปกครองในระบอบประชาธิปไตยเองนั้น ก็มีความแตกต่างกัน ในวิธีการปฏิบัติ แต่ “แก่นสาร” ก็ยังคงเหมือนๆ กัน นะครับ

            ซึ่งเป็นที่น่าตกใจนะครับ จากผลสำรวจของสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เรื่อง “ประชาธิปไตยที่ประชาชนต้องการ” จากกลุ่มตัวอย่าง ประชาชนทุกสาขาอาชีพ จำนวนทั้งสิ้น ราว 1 พันตัวอย่าง ด้วยคำถามปลายเปิด สะท้อนว่า ประชาชน 36% หรือมากกว่า 1 ใน 3 ที่เป็น “ส่วนใหญ่” ไม่รู้ ไม่ทราบ แล้วก็ไม่ตอบในเรื่องของประชาธิปไตยนี้นะครับ  “ส่วนที่เหลือ” ก็มีคำตอบที่แตกต่างกันตามประสบการณ์

            โดยระบุว่า... ประชาธิปไตย คือ ความเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ อิสระในการคิดการพูด ฟังเสียงคนข้างมาก รักสามัคคีกัน การมีส่วนร่วม บางคนนึกถึงการเลือกตั้ง บางคนบอกว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ เมื่อถามถึงความชอบต่อประชาธิปไตยแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ หรือต้องการให้เป็นแบบใด พบว่า 41% ชอบประชาธิปไตยที่เป็นอยู่ตอนนี้

            ขณะที่ 59% ต้องการประชาธิปไตยแบบสงบสุข แบบพอเพียง ไม่มีคอร์รัปชั่น และ บางส่วนระบุแบบไหนไม่รู้ แต่ขอให้ดีขึ้นกว่านี้ ที่จำเป็นต้องยกขึ้นมาพูดนะครับ นี่เป็นผลโพลจากภายนอกนะครับ ไม่ใช่ของรัฐบาล ของ คสช. เพราะอยากจะให้ทุกคนลองพิจารณาดูว่า สังคมของเรานั้นได้ให้ความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องประชาธิปไตยกันมากพอหรือยัง ใครบ้างที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่เพียงโรงเรียน หรือรัฐบาล แต่ประชาธิปไตยต้องเริ่มตั้งแต่ที่บ้าน ต้องอยู่ในสายเลือด ในจิตสำนึก

            ที่ผ่านมาพรรคการเมือง ก็ถือว่าเป็นสถาบันหลักนะครับ ที่มีหน้าที่ส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตยด้วย และ พรรคการเมืองก็ต้องไม่ถูกแทรกแซง ควบคุม ครอบงำ ชี้นำจากบุคคลอื่นใดนะครับ ที่ไม่ใช่สมาชิกพรรค ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม จนขาดความอิสระ ซึ่งก็ระบุชัดในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ซึ่งไม่ใช่เพียง “ประชาธิปไตยไทยนิยม” แต่เป็นหลักสากล พื้นฐานนะครับ

            ที่กล่าวมานั้น ผมสนับสนุนให้สอนเยาวชนด้วยหลักวิชาการ ควรจะยกกรณีความสำเร็จ - ความล้มเหลวของต่างประเทศ มาเปรียบเทียบ แต่ก็ไม่ได้ให้ “เดินซ้ำรอยความผิดพลาด”  ให้เด็กได้คิด ให้มีพื้นฐานหลักคิดที่ถูกต้อง ว่าประเทศชาติจะสงบสันติได้อย่างไร ด้วยวิธีการอย่างไร ไม่ใช่ให้เอาเยี่ยงอย่าง การล้มล้างสถาบัน การเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยที่ประชาชนยังไม่พร้อม

            จนต้องบาดเจ็บ ล้มตาย ตามที่หลายประเทศล้มเหลวมาก่อนนะครับ เราก็ได้รู้ เราได้เห็นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องให้ประวัติศาสตร์เหล่านั้นซ้ำรอยอีกนะครับ หรือเจ็บแล้วลืม จนต้องล้มแล้วล้มอีกนะครับ  ลองสอนเด็กง่ายๆ แบบไทยๆ แบบนี้ได้หรือไม่นะครับ หรือปูพื้นฐานให้เขาก่อน ก่อนที่จะเอาตัวอย่างจาก นี่ โน่น มาสอนต่อนะครับ ไม่อย่างนั้นก็ไปสอนให้คิดนอกกรอบกันไปหมด กรอบที่ว่าก็คือกรอบคำว่า สงบ สันติ ให้ได้เสียก่อนนะครับ

            เช่น การเลือกตั้ง ถ้าเราเปรียบเทียบก็ไม่ต่างอะไรกับการเลือก “กล้วย” นะครับกล้วยที่เปลือกยังเขียวอยู่ ก็ยังไม่สุก ไม่พร้อมจะรับประทาน คุณสมบัติก็ไม่ครบนะครับ กล้วยเปลือกสีเหลือง คือ สุกงอม กินได้ เหมาะสม แต่ถ้ากล้วย  เปลือกดำแล้ว คือ ไม่ดี ไม่ควรเลือกกิน

            แต่ถ้าเราไปสอนโดยยกตัวอย่าง เป็นผลไม้อื่นนะครับ เช่น  “แอปเปิ้ล” ซึ่งก็ไม่เป็นผลไม้ประจำถิ่นของเรา บางคนเกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นต้นแอปเปิ้ลเลยนะครับ อาจจะเคยทาน แต่ไม่เคยเห็นต้น เด็กไทยคงไม่อาจแยกแยะด้วยสีของเปลือกได้ว่าแอปเปิ้ลผลไหน ดี สุก กินได้ ไม่ง่ายเหมือนกล้วยนะครับ  “แก่นสาร”ของเรื่องนี้ คือ ทำอย่างไร ให้คนไทยสามารถแยกแยะว่า ถ้ามีการเลือกตั้งแล้วควรเลือกใคร และเลือกจากอะไร...

            ไม่ใช่ใช้ความรัก ความชอบ ความคุ้นเคย ใช้อารมณ์ แต่ไม่พิจารณาด้วยเหตุด้วยผล เช่น ดูที่นโยบายพรรค ดูที่ประวัติการทำงาน เหล่านี้ เป็นต้น ทั้งนี้ในการเข้าคูหาเลือกตั้งนั้น ก็ต้องคำนึงถึงการเลือกนักการเมืองที่มีคุณภาพนะครับ ไม่มีประวัติเสื่อมเสีย หรือทุจริตมาก่อนนะครับ เลือกพรรคการเมืองที่น่าเชื่อถือ ดูจากนโยบาย จากการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝง หรือ ถูกครอบงำ ตามที่ได้กล่าวไปแล้วนะครับ

            นอกจากนี้ ผมอยากให้พี่น้องประชาชน มีความรู้ หลักคิด มีหลักการเลือก ส.ส. ที่มีคุณภาพนะครับ หลีกเลี่ยงผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือ พรรคที่มีนโยบายในลักษณะสัญญาว่าจะให้ เพื่อดึงดูดใจ  ในสิ่งที่ผิดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นนโยบายที่มีผลต่อการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินที่สิ้นเปลืองมากเกินไป ขาดวินัยการเงินการคลัง หรือ ขัดแย้งพันธกรณีต่างประเทศเป็นต้น

            สำหรับเส้นทางสู่การเลือกตั้งของเรา นั้นบางคนยังเข้าใจผิดว่า การไม่ไปเลือกตั้ง จะทำให้รัฐบาลหรือ คสช. อยู่ต่อไปได้ ความจริงแล้วก็คือ หากท่านไม่ไปเลือกตั้งแล้ว ผู้สมัครคนใด ได้คะแนนมาก ก็ได้เป็น ส.ส. และ พรรคที่มี ส.ส. มากที่สุด ก็จะโอกาสได้ตั้งรัฐบาล ปัจจุบันเราอยู่ระหว่างการออกกฎหมายลูก 4 ฉบับนะครับ ที่จำเป็นต่อการเลือกตั้ง ได้แก่

             (1) กฎหมายลูกว่าด้วย คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นะครับ

            (2) กฎหมายลูกว่าด้วย พรรคการเมือง

            (3) กฎหมายลูกว่าด้วย การเลือกตั้ง ส.ส.  และ (4) กฎหมายลูกว่าด้วย การได้มาซึ่ง ส.ว.

            ใน 2 ฉบับท้าย กำลังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาของคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย สนช., กรธ. และ กกต. นะครับ เพื่อจะพิจารณาในทุกประเด็น ที่ยังเห็นไม่ตรงกัน เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ส่วนร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ภาย หลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้แล้วในอีก 90 วัน หลังจากประกาศ ในราชกิจจานุเบกษานะครับ การเลือกตั้ง ก็อาจจะเกิดขึ้นในเดือนใดก็ได้ ภายใน 150 วัน หลังจากนั้น

            ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของทุกฝ่าย ทั้งพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และ กกต. ในระหว่างนั้น ครม. ก็จะแจ้ง คสช. ให้เชิญ กกต., กรธ. รวมถึงทุกพรรคการเมืองนะครับ มาพูดคุยหารือ ว่าการเลือกตั้งนั้นควรจะเกิดขึ้นเมื่อใด วัน – เวลา นะครับ ที่ทุกฝ่ายพร้อม ทุกฝ่ายเห็นพ้องกัน แล้วก็ถือเป็น “วาระสำคัญของชาติ” อาจจะต้องเป็นสัญญาร่วมกันว่าทำอย่างไร เราจะเดินหน้าประเทศไป ให้เป็นไปตามRoadmap ของประเทศ ให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในอนาคตนะครับ

            ทั้งนี้ รัฐบาลและ คสช. ไม่เคยมีความคิดนะครับ แล้วก็ไม่ไปก้าวล่วงอำนาจใดๆ ที่จะทำให้เกิดการคว่ำร่างกฎหมายต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะรัฐบาลไม่อยากให้กำหนดเวลาคลาดเคลื่อนนะครับ ตามที่มีใครหลายคนพยายามบิดเบือน ให้ข้อมูลผิดๆ ต่อสังคม เว้นอย่างเดียว ก็คือการเกิดความวุ่นวายประชาชนขัดแย้ง ใช้กำลัง ใช้อาวุธ ใช้ความรุนแรง การหาเสียงมีปัญหา ประชาชนขัดแย้งกันอีกนะครับ เกิดความไม่สงบ เหมือนช่วงก่อนปี 57 อันนั้นก็เป็นอีกเรื่องนะครับ ทุกคนต้องช่วยกัน อย่าให้เกิดขึ้น

            ดังนั้น ประชาชน นักการเมือง และทุกๆ ฝ่ายก็ต้องช่วยกัน รักษาบรรยากาศ ความมีเสถียรภาพของประเทศนะครับ ต้องไม่ขัดแย้ง ไม่แบ่งฝ่ายกันอีกต่อไป แล้วก็ต้องสัญญากันว่า หลังการเลือกตั้ง เราจะได้มีฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านที่จะต้องร่วมมือกัน ทำในสิ่งที่ประเทศชาติและประชาชนทั้งประเทศต้องการนะครับ ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ที่เป็นฐานเสียงของฝ่ายใดก็ตาม รวมทั้ง ร่มกัน หรือช่วยกันในการปฏิรูปประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติต่อไป

            พี่น้องประชาชนที่เคารพทุกท่าน ครับ, ในอนาคตการบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทย เราจะมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และ แผนการปฏิรูปประเทศ ประเด็นต่างๆ เป็นกรอบภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ “ฉบับปัจจุบัน” นะครับ ช่วงนี้ อยู่ระหว่างการประชาสัมพันธ์ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม จากทุกภาคส่วน ก่อนที่คณะกรรมการที่รับผิดชอบ จะนำข้อเสนอแนะต่างๆ มาปรับปรุง - แก้ไข - เพิ่มเติมแล้วเสนอให้ ครม.ทราบ และมีผลบังคับใช้ต่อไป

            อย่างไรก็ตามนะครับ ก็ยังสามารถแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงได้ ตลอดเวลา ตามความเหมาะสมของสภาพแวดล้อม ที่อาจจะไม่เป็นไปตามการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ระหว่างการจัดทำยุทธศาสตร์ และแผนปฏิรูปนะครับ ทั้งนี้จะต้องเป็นไปตามกลไกที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ คือ การรับฟังความคิดเห็นของสาธารณะชน และ การพิจารณาของรัฐสภา เป็นสำคัญ

            ทั้งนี้ จะต้องมีการประเมินทุกๆ 5 ปี คู่ขนานกับการปรับปรุงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 – 15 ด้วย ทุกปีนะครับ คณะทำงานติดตามก็จะมีการติดตามประเมินผล แล้วก็ปรับเปลี่ยนจากสถานการณ์ภายใน และภายนอกประเทศ ที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปนะครับ เพื่อให้เกิดการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่เหมาะสม ปัจจุบันนั้น รัฐบาลและ คสช. กำลังขับเคลื่อนด้วยโครงการ“ไทยนิยมยั่งยืน” นะครับ

            มีการจัดตั้ง “คณะทำงานบูรณาการ” หน่วยงานทุกภาคส่วน แบ่งออกเป็น ระดับรัฐบาล ระดับจังหวัด - อำเภอ - ตำบล ออกเยี่ยมเยียนประชาชน เป็นรายครัวเรือน  หรือรายบุคคล เพื่อจะร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาความเดือดร้อน ค้นหาความต้องการของประชาชน หมู่บ้าน ชุมชน เพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถ การสร้างมูลค่า หรือการลงทุนนะครับ

            เพื่อให้ประชาชนร่วมกันคิดจะทำประโยชน์อย่างไรในพื้นที่ ให้พื้นที่นั้นมีรายได้ ทุกคนที่พอเพียงนะครับ แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไรให้ได้ตรงจุด และยั่งยืน ก็เหมือกับเราไปทำให้เกิดการระเบิดจากข้างในนะครับ บางที บางพื้นที่อาจจะนึกอะไรไม่ออก เราก็จะมีคำแนะนำลงไป ว่าในพื้นที่อื่นๆ เขาทำอะไรสำเร็จมาแล้วบ้าง เขาอยากจะทอย่างนั้นไหม อย่างนี้ไหม ทุกคนก็ต้องเปลี่ยนแปลงนะครับ

            วันนี้งบประมาณ เราก็จะมีทั้งจากบนลงไปล่าง แล้วก็จากล่างขึ้นมาบนนะครับ การจัดทำงบประมาณ เราต้องรับฟังความต้องการของประชาชนด้วย ไม่ใช่กำหนดจาก ท๊อปดาวน์ ลงไปอย่างเดียวนะครับ เพราะฉะนั้นในการลงไปพื้นที่ ครั้งนี้ก็ต้องกำหนดเองจากในพื้นที่ว่า งบประมาณ ที่เราตั้งกรอบไว้นั้น จะใช้ได้อย่างไร ให้เกิดผลอย่างรวดเร็ว ในลักษณะที่เป็นกลุ่มนะครับ หรือว่าเป็นที่รวมกันได้ ที่จะเกิดมูลค่าขึ้น หลายๆ คน หลายๆ ครอบครัวนะครับ

            หากเป็นงบประมาณที่นอกเหนือไปจากนี้ งบประมาณมาก ในการทำกิจกรรมที่ไม่ตรงกับหลักการ ของโครงการ “ไทยนิยมยั่งยืน” ก็จะต้องเป็นการเสนอโครงการเหล่านี้ขึ้นมาในกรอบการเสนอของงบประมาณประจำปีนะครับ ให้กรรมการที่สูงกว่าขึ้นมา ได้พิจารณานำเสนอการใช้ในงบปกติ หรืองบบูรณาการ ในการใช้จ่ายงบประมาณในปีต่อไปด้วยนะครับ เหมือกับไปทำ บิ๊กดาต้า ด้วย นั่นเองนะครับ

            สำหรับในเรื่องของใช้จ่ายงบประมาณนั้น หลายคนอาจจะมองว่าทำไมยังทุจริตกันอยู่ จริงๆแล้วมันไม่ใช่ของง่ายเลย แต่มันก็ไม่ใช่ของยากเกินไป เพราะเรามีระบบตรวจสอบ

            วันนี้รัฐบาลในฐานะรัฐบาล คสช. ก็มีเรื่องตรวจสอบมากมาย ทุกอย่างกำลังเข้าสู่กระบวนการ บางครั้งพูดก่อนก็ไม่ได้ ก็ขอให้รอผลที่ออกมาก็แล้วกัน ส่วนใหญ่กฎหมายเราไม่ได้บกพร่อง อาจจะมีไม่ทันสมัยบ้าง อะไรทำนองนี้ ก้ต้องแก้ไขไม่ให้ล้าสมัย

            แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวบุคคล ประชาชนที่เกี่ยวข้อง หรืออาจะเรียกได้ว่า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด อาจจะมีส่วนร่วมในการทุจริต มีการสมยอม เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ซึ่งก็เป็นคนกลุ่มเล็กๆ ในระดับจัดทำโครงการ   นโยบายก็คือนโยบาย กำหนดลงไป ข้างล่างก็จัดทำโครงการขออนุมัติขึ้นมา ข้างบนก็อนุมัติโครงการลงไป ก็ระมัดระวังเต็มที่

            ทีนี้เวลาไปทำ  ข้างล่างก็มีการจัดทำสัญญา จัดซื้อจัดจ้าง กำหนด ทีโออาร์ อีกมากมาย เพราะฉะนั้นก็ต้องไปดูว่าจะอุดรูรั่วเหล่านี้ตรงไหน  เพราะมันมีช่องว่างของกฎหมาย อาจจะมีการใช้อิทธิพลกล่าวอ้าง และมีการใช้กลไกบริหาร ข่มขู่ ข้าราชการให้หวาดกลัว ให้ร่วมมือกับเขา อันนี้ก็ต้องระมัดระวัง บางครั้ง บริหารราชการทุจริตเชิงนโยบายที่มีส่วนได้เสีย ในผลประโยชน์โดยมิชอบ อันนี้ก็เกิดขึ้นมาโดยเราเห็นอยู่แล้วนะครับ

            บางครั้ง การตรวจสอบเข้าไม่ถึง บางทีมีข่าวออกมา ถูกแพร่หลายออกไปก็ทำให้ภาพลักษณ์เสียหายไปทั้งหมด อันนี้ก็ต้องช่วยกันดูแล  การกระทำของคนเลวๆ เหล่านั้น เป็นการกระทำในที่ลับ-แอบทำ-ลักลอบ ทั้งนี้ ขั้นตอนและการจัดทำงบประมาณถือว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วมกำหนดเอง ต้องโปร่งใส

            เราต้องรักษาสิทธิของเรา อย่ายอมให้ใครโกง ไม่มีรอยรั่ว ไม่ใช่ปล่อยไปยาวนานแล้วมันก็บานปลายกันมา หลายเรื่องทำมานานแล้ว หลายเรื่องเพิ่งทำมาไม่กี่ปีนี้เอง  นโยบายมันดีหมด แต่เวลาไปทำแล้วมีคนโกงไง แล้วเราปล่อยให้โกงอยู่สองปีสามปี ถึงมีเรื่องขึ้นมาแล้วมันไม่ได้ มันต้องไม่เห็นด้วยตั้งแต่ตอนแรก

            เช่นไปให้ใครมาเซ็นชื่อ แล้วไม่ได้รับเงินตามกำหนด ตามจำนวนที่ว่า มันก็ต้องเลิกตั้งแต่ตอนนั้นเลย หรือมีการล่ารายชื่อมาแล้วไปขึ้นเงิน โดยที่ตัวเองไม่รู้ว่าเขาเอาไปทำอะไร นี่คือสิ่งที่เราต้องรู้นะ กฎหมายนะ  ประชาชนทุกคนต้องเรียนรู้ตรงนี้นะครับ ไม่งั้นปัญหาก็บานปลายขึ้นมา ต้องนำไปสู่กระบวนการตรวจสอบที่ยืดเยื้อยาวนาน ไปเร่งมากก็ไม่ได้เพราะหลักฐานมันต้องใช้เยอะไง 

            เพราะฉะนั้นเราต้องมีความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้นในเรื่องของการปราบปรามทุจริต  ต้องไปแยกแยะให้ออกนะ อะไรคือการทุจริต ทุจริตนั้นมันจะลงโทษกันด้วยอะไร ทางวินัยก็มี  โทษทางกฎหมายคดีอาญา คดีแพ่ง มีหมดนะครับ เพียงแต่ต้องเข้าใจว่าการดำเนินการเป็นอย่างไร

            วันนี้เราคิดว่าจะเปิดให้มีช่องทางร้องทุกข์กล่าวโทษ เช่นหาหลักฐานในการร้องทุกข์กล่าวโทษนำเข้ากระบวนการ โดยไม่ต้องกลัวผู้กระทำผิดรัฐบาลจะเป็นผู้ดูแลความลับ - ความปลอดภัยให้ทุกคนกรุณาอย่าดูดาย อย่ากลัว ต้องช่วยกันต่อต้าน อย่าเพียงวิจารณ์ ต้องดูว่าเขาทำโปร่งใสหรือไม่  ตัวเองได้ประโยชน์อย่างไร  อย่าให้ใครเอาเราไปหาประโยชน์ต่อไปอีก  ต้องแก้ไข ทั้งระบบ

            รัฐบาลนี้ก็มีหลายมาตรการ มีกฎหมาย ทั้งป้องกันและปราบปราม แต่ปัญหาส่วนใหญ่มักอยู่ที่ตัวบุคคล คนเลวๆ มันก็ยังแทรกซึมอยู่ ไม่ใช่ระบบเสียหาย หรือรัฐบาลนี้ทำเสียหาย   รัฐบาลนี้ได้ทำหลายอย่างให้เกิดความชัดเจนเกิดขึ้น  อะไรที่ไม่ชัดเจนก็ทำต่อไป  ไม่ใช่แย่ไปทั้งหมด คงไม่ใช่นะครับ  เพราะในรัฐบาลนี้ คดีความเหล่านี้ได้ออกมาเป็นจำนวนมากนะครับ

          เราไม่ต้องการปกป้องคนทุจริต โดยเฉพาะคนทุจริตที่หลบหนี องค์กรตรวจสอบการทุจริตก็มีมาก ทั้ง สตง., องค์กรอิสระ, ภาคเอกชน ฯลฯ ก็ต้องปรับตัวเองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันด้วย หลายอย่างเป็นเรื่องของการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง การปฏิรูปประเทศ ฉะนั้นหลักการทางกฎหมายก็ต้องไปดูว่าเป็นอย่างไร นั้นก็เกี่ยวกับการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมด้วยเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกปัจจุบัน ช่วยกันแก้ นะครับทั้งระบบ

            เด็กๆ เยาวชน คนรุ่นใหม่ต้องให้ความสำคัญเรื่องนี้ให้มากเพราะเป็นการบ่อนทำลายประเทศ  อนาคตของท่านด้วย  ของเด็กๆเหล่านั้นที่จะโตขึ้นมาในวันหน้า  หากใช้งบประมาณสิ้นเปลือง เกิดผลสัมฤทธิ์น้อย  ไม่เป็นผลสัมฤทธิ์ที่ยังยืน เพราะการทำงานโดยไม่มีธรรมาภิบาล เหล่านี้คือปัญหาทั้งสิ้น วันนี้ ผมได้สั่งการให้เพิ่มช่องทางสื่อสารโดยเปิด Website และ Facebook ชื่อ “สายตรง ไทยนิยม”

            เพื่อรับคำร้องเรียน ร้องทุกข์ ข้อเสนอแนะ แสดงความคิดเห็น และใช้ในการกระจายข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐ ข้อมูลสาธารณะประโยชน์ ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่อยู่ในความสนใจของประชาชนเป็นสำคัญเสริมช่องทางเดิมที่มีอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งสายด่วน 1111 และ 1567 ซึ่งโทรฟรีทั่วไทย ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น

            ส่วนการตอบคำถามนายกรัฐมนตรี 10 ข้อ ที่เราทำมาโดยตลอดนั้น   ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วม  เราได้รับสรุปผลรายงานมา 15 ครั้งแล้วต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชน“เกือบ 1 ล้าน 5 แสนคน” ที่ออกมาแสดงความคิดเห็น ผมถือว่าเป็นความสมัครใจ เพราะไม่ได้ไปกะเกณฑ์ใครมา  ไม่รู้จักกัน

            เขามาตอบคำถามในขณะที่เห็นการปฏิบัติงาน ซึ่งอาจจะต่างจากการสำรวจโพลต่างๆ ที่อาจไม่ตั้งใจ ไม่สมัครใจ หรือมีความรู้พอเพียงที่จะตอบโพลล์เหล่านั้น อันนี้ไม่ใช่โพลล์แบบนั้น   มาตอบคำถามด้วยตัวเอง ยืนยันตัวตน 

            ผู้ที่มาตอบคำถามผมนั้น ส่วนใหญ่เป็นพี่น้องเกษตรกร อายุช่วงวัยแรงงาน 31 - 60 ปีข้อสำคัญคือการศึกษาระดับประถมศึกษาเท่านั้นแหละ

            โดยข้อมูลบางส่วนที่น่าสนใจ อย่างมีนัยสำคัญ เช่น ต้องการให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง วันนี้เราก็ทำมาอยู่แล้ว 3- 4 ปีที่ผ่านมา ปฏิรูปในเชิงโครงสร้าง ปฏิรูปองค์กร ปฏิรูปวิธีการทำงาน ปฏิรูปกฎหมาย มันจะได้เตรียมความพร้อมสู่ระยะที่สองโดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนะครับ  และ คาดหวังว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า จะได้รัฐบาลที่มี                ธรรมาภิบาล ซึ่งผมถือว่าเป็น “ภารกิจสำคัญ” ของ คสช.ตั้งแต่ต้น ที่จะต้องทำให้สำเร็จในระยะที่ 1 ที่เราอยู่นี้

            โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเห็นในเรื่องของนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือมีความผิด ส่อทุจริต นั้น คำตอบที่ได้จากพี่น้องประชาชน คือ ต้องการให้ได้รับโทษที่หนักที่สุด โดยการตัดสิทธิ์ทางการเมือง การติดตามเอาผิดจากผู้ที่เกี่ยวข้อง - ผู้สนับสนุน รวมไปถึง การยุบพรรคด้วย

            ซึ่งผมเห็นว่าบางอย่างก็แรงไปหรือเปล่าไม่รู้นะ  แต่นั่นเป็นความเห็นประชาชนเขา  ผมก็เห็นว่าต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ตามหลักฐาน ตามกฎหมายที่มีอยู่นะครับ ส่วนที่พี่น้องประชาชนคาดหวังให้ คสช. แก้ปัญหาต่างๆ ต่อไป และขอให้ “ผม” นิ่ง – อารมณ์ดี ยิ้มๆ ไม่หงุดหงิด  ผมก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด

            พี่น้องประชาชนที่รัก ครับผมมีเรื่องที่น่ายินดี สำหรับสัปดาห์นี้ 2 เรื่องที่จะนำมาเล่าให้ฟัง ช่วยกันคิดวิเคราะห์ว่า เราจะทำอย่างไรต่อไป เพื่อให้สิ่งที่ดีๆ อยู่แล้ว ดียิ่งขึ้น และ สิ่งที่ยังบกพร่องอยู่ ก็ควรจะได้ร่วมมือ ร่วมใจกัน อย่าเอาแต่ติติงกันอย่างเดียว ต้องช่วยกันแก้ไข หาวิธีที่จะปฏิบัติให้ได้ ถ้าหลักการอย่างเดียว  ต้องการอะไร จะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  ซึ่งมันคือปัญหา รัฐบาลก็ต้องคิด ต้องทำ แต่หลายคนก็คิดแต่เพียงว่าอยากได้นี่อยากได้โน่น บางครั้งก็ลืมองค์ประกอบไป  เราต้องช่วยกันแก้ไข เช่นวันนี้สิ่งที่เราทำได้ น่าจะดีขึ้นนะครับ  อาจจะหลายคนมองว่าไม่ดีก็แล้วแต่ วันนี้ภาพลักษณ์ของบ้านเมืองเรา ในสายตาประชาคมโลก นะครับ

            เรื่องที่ 1 รายงานผลการวิเคราะห์ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (CPI)ประจำปี พ.ศ.2560ประเทศไทยของเรา ได้คะแนน “ดีขึ้นเล็กน้อย” คำว่าดีขึ้นเล็กน้อยเพราะมันยาก เพราะมีหลายมิติด้วยกัน เมื่อเทียบกับภาพรวมทั่วโลก ส่วนใหญ่ “คงที่” โดยเราได้ 37 คะแนน อยู่ในลำดับที่ 96 จากประเทศที่เข้าร่วมประเมินทั้งหมด 180 ประเทศ ก็อยู่ประมาณกลางๆ นะครับ  เทียบกับปีก่อนหน้านี้ เราได้ 35 คะแนน อยู่ในลาดับที่ 101 จาก 176 ประเทศที่เข้าร่วมประเมิน

            ทั้งนี้ การประเมินของ CPIได้รับความน่าเชื่อถือจากประชาคมโลก เนื่องจากมีการประเมินจากหลายแหล่ง หลากวิธีการ  ทั้งจากผู้เชี่ยวชาญ นักวิเคราะห์ความเสี่ยง นักวิชาการ รวมทั้งนักธุรกิจ ทั้งในประเทศและทั่วโลก  ที่สะท้อนข้อเท็จจริง ให้เห็นในประเด็นสำคัญ อาทิ

            (1) การรับรู้ถึงความมุ่งมั่น จริงจัง ในการดำเนินการของประเทศไทย เกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ การต่อต้านการทุจริตติดสินบน อย่างแข็งขันโดยเฉพาะการเร่งรัดดำเนินการตามประกาศคณะรัฐมนตรี ให้ปี พ.ศ.2560 เป็น “ปีแห่งการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ ต่อต้านการรับสินบนทุกรูปแบบ” เป็นต้น

            (2) ภาพลักษณ์การรับรู้ระบบราชการไทย สังคมไทยทั้งในสายตาประชาชนไทย นักลงทุน ตลอดจนนักวิชาการนานาชาติ ว่าสังคมไทย ยังคงมีกับดักในเรื่องเจ้าหน้าที่รัฐมีพฤติกรรมการใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางมิชอบและ มีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ ซึ่งแม้ว่าจะ “ดีขึ้นเล็กน้อย” จากปีที่แล้วมีกติกาเพิ่มขึ้นหลายอย่าง เช่น เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแต่เราก็ทำคะแนนได้สูงขึ้นอยากให้มองตรงนี้

            หากเราเลือกตั้ง ในรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลจริงย่อมจะต้องดีขึ้นกว่านี้อีกในระยะต่อไป เราต้องการยกระดับค่าดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น ในส่วนนี้ให้มีคะแนนเพิ่มสูงขึ้นอีก อย่างมีนัยสำคัญ จำเป็นต้องมีแนวร่วมทุกภาคส่วน อย่าติกันอย่างเดียว ต้องติเพื่อก่อ อย่าสร้างความขัดแย้ง และรู้ถึงกลไกกฎหมายกระบวนการตรวจสอบให้ชัดเจนไม่งั้นมันก็ตีกันไปมาหมดแหละ  ทั้งนี้ก็เพื่อจะเพิ่มกลไกให้อำนาจบทบาทให้องค์กรอิสระภาคส่วนต่างๆ นอกภาครัฐ ให้สูงขึ้น

          ปัจจุบัน ในด้านจิตสานึกของประชาชนไทยในเรื่องการต่อต้านการทุจริต นั้นมีระดับสูงขึ้นมากแล้ว ทุกคนก็ช่วยกันทำงาน ร่วมมือกันทำงานให้ดี ก็จะมีดีกว่าที่จะขัดแย้งกันเอง ก็ต้องมาหาทางเข้าใจ หาวิธีการและเหตุผลในการที่จะเดินต่อไปให้ได้ กฎหมายว่ายังไง ขั้นตอนเป็นอย่างไรก็ไปดูกัน อย่าเอาหลายอย่างมาปนกันทั้งหมด อันนี้ผมพูดโดยรวมนะ

            ในปีนี้ก็นับว่าเริ่มต้น เป็นทิศทางการพัฒนาที่ดี โดย “จิตสำนึก” นั้น จะเป็นเหมือน “ภูมิคุ้มกัน”ป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริต ตั้งแต่ต้นทาง ช่วยให้มาตรการปราบปราม ที่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ลดความสำคัญลง

            ซึ่งเราก็เดินทางถูกทางแล้ว ผมก็ขอให้พี่น้องประชาชนทุกคน ร่วมมือกัน “เป็นหู เป็นตา” อย่านิ่งเฉยต่อการกระทำผิด  นะครับ

            และ เรื่องที่ 2 คือ Bloomberg มีรายงานว่า ประเทศไทย ยังคงครอง “แชมป์” อันดับ 1 ประเทศที่มีความทุกข์ยากด้านเศรษฐกิจน้อยที่สุดในโลก ปี 2017-2018 เป็นปีที่ 4 ต่อเนื่อง เราก็ต้องมาดูในเรื่องของการกระจายรายได้ การสร้างห่วงโซ่มูลค่า ไทยนิยมกำลังลงไปนะครับ ทำอย่างไรจะถึงข้างล่าง ทำอย่างไรผู้ผลิตถึงจะได้ เช่นเกษตรกร

            ผู้มีรายได้น้อยที่เป็นแรงงานเหล่านี้ ทำอย่างไรถึงจะมีรายได้มากขึ้น หลายอย่างนะครับ อาชีพเสริม การปรับเปลี่ยนอาชีพ การรวมกลุ่ม การให้ความรู้ การให้เงินทุน แต่เราไม่สามารถจะให้ทุกครอบครัวได้ มันต้องสร้างให้เกิดขึ้นข้างล่างในลักษณะที่เป็นการบูรณาการขึ้นมา มันถึงจะทำงานได้นะครับ งบประมาณมีจำกัด ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคน ข้าราชการดีๆก็มีอยู่เยอะ  ประชาชนที่ร่วมมือก็เยอะมาก

            สุดท้ายนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ประกาศตัวเลข การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย ว่าในไตรมาสสุดท้ายของปี 2560 “ขยายตัว” จากไตรมาสเดียวกัน ปีก่อนหน้า ที่ ร้อยละ 4.0     

            หากมองภาพรวมทั้งปี 2560 เศรษฐกิจไทยขยายตัว จากปี 2559 ที่ร้อยละ 3.9 หลักๆ มาจากการส่งออกสินค้า และ ภาคการท่องเที่ยว ที่ปรับดีขึ้น สำหรับการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ก็ถือว่าฟื้นตัว ต่อเนื่อง ในภาพรวม

            และในปี 2561 นี้ ทางสภาพัฒน์ฯ มองว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ดี ต่อเนื่องนะครับ เพราะมีปัจจัยบวก จากการเติบโตต่อเนื่อง ของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า รวมถึง การลงทุนของภาคเอกชน ที่คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้น

            ส่วนหนึ่งมาจาก โครงการร่วมทุนของรัฐบาลและเอกชนที่จะทยอยมีมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึง การลงทุนใน EEC ที่จะมีความชัดเจนมากขึ้น กระตุ้นการลงทุนด้านการก่อสร้าง

            นอกจากนี้ การลงทุนและการใช้จ่ายของภาครัฐเองก็คาดว่าจะเร่งขึ้นได้ โดยได้มีการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมวงเงิน 150,000 ล้านบาท

            รวมทั้ง ผมได้เร่งให้ส่วนราชการดำเนินการเบิกจ่ายและก่อหนี้ผูกพัน ให้ได้ตามที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การใช้จ่ายของภาครัฐ เข้าไปสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ดีขึ้นนะครับ

            ขอบคุณครับ  ขอให้ “ทุกคน ทุกครอบครัว” มีความสุข พาลูกหลานไปทำบุญ - เข้าวัด - ฟังเทศน์ - เวียนเทียน - สนทนาธรรม ในวันมาฆบูชาด้วย นะครับ จิตใจจะได้ผ่องใสกันทุกคน และว่างๆก็ไปเที่ยวงานอุ่นไอรักกัน  สวัสดีครับ


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"