นักวิชาการวิตก!แนวคิดส้มหวานแทรกซึมกลุ่มเยาวชนหวั่นซ้ำรอย'ยุวชนเรดการ์ด'มุมมืดของ'เหมาอิสต์'


เพิ่มเพื่อน    

14 มิ.ย. 62 - พัฒน์ เหมสุข นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Pat Hemasuk ว่า ผมดูข่าวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งหนึ่งวันนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าความคิดบางอย่างได้ถูกปลูกฝังลงไปลึกในหมู่เยาวชนไปมากแล้ว และคนกลุ่มนี้มีวัยที่เด็กลงไปเรื่อยๆ เด็กพวกนี้คือผ้าขาวที่จะย้อมเป็นสีอะไรก็ได้แบบง่ายๆ ผมบอกได้เลยว่าสิ่งแบบนี้ถ้าไม่ทำกันเป็นระบบจะทำไม่ได้ในเวลาอันสั้น

ทุกวันนี้ความคิดที่โดนปลูกฝังแบบนี้ถูกแทรกซึมเข้าไปทุกกลุ่มของเยาวชน แม้กระทั่งเว็บเกมส์ออนไลน์ที่เด็กนิยมเข้าไปก็ยังโดนคนกลุ่มนี้เข้าแทรกซึมไปปลูกฝังแนวความคิด น่ากลัวไหมครับกับความคิดที่เป็นระบบที่เวลานี้เองรัฐบาลและหน่วยงานก็คิดไม่ถึง หรือเวลารัฐบาลและหน่วยงานก็ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าแนวความคิดแบบนี้ใช้เส้นทางทุกเส้นทางที่เข้าถึงเยาวชน และเวลานี้ได้เจาะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ลึกมากขนาดไหน

ผมอยากให้อ่านเรื่องหนึ่ง ซึ่งคนที่เคยผ่านวันเวลาแบบนั้นและเคยเห็นเหตุการณ์นั้นมาแล้ว จะรู้สึกกลัวกับสิ่งที่ประเทศไทยกำลังเดินไปในแนวทางเกือบไม่ต่างกัน เพียงแต่ในอดีตนั้นพรรคคอมมิวนิสต์จีนทำเพื่อรักษาอำนาจและเก้าอี้ของตัวเอง แต่สิ่งที่เกิดใหม่นี้พรรคการเมืองพรรคหนึ่งทำเพื่อสร้างอำนาจและเก้าอี้ของตัวเอง สักวันเขาอาจจะทำในสิ่งที่เขาเคยพูดเอาไว้ว่าในอนาคตเขาจะพูดกับสถาบันสูงสุดในระดับเดียวกันกับเขา ไม่ใช่สูงกว่าเขาแบบทุกวันนี้

********************************************

ยุวชนเรดการ์ดนั้นน่ากลัวมากและเป็นมุมมืดของเหมาอิสต์ที่คนจีนไม่อยากจะพูดถึง เพราะสิ่งที่หล่อเลี้ยงเก้าอี้ของแก็งค์ออฟโฟร์ ( 四人幫) นางเจียง ชิง, จาง ชุนเฉียว, หวัง หงเหวิน, เหยา เหวินหยวน ที่มีบทบาทสำคัญในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมของจีนนั้นทำลายสิ่งที่เป็นจีนและรากเหง้าเสียจนคนรุ่นปัจจุบันไม่ให้อภัยเลยก็ว่าได้ ทุกวันนี้คนที่เป็นวัยรุ่นที่เป็นสมาชิกของยุวชนเรดการ์ดนั้นไม่กล้าพูดให้ลูกหลานฟังว่าตัวเองคือหนึ่งในคนที่ทำลายประเทศในยุคนั้น

ข่าวทีวีย้อนหลังไปเมื่อต้นปีจะเห็นผู้หาเสียงพรรคใหม่ที่ชูความใหม่ ความทันสมัย จับตลาดคนหนุ่มสาวแล้วผมเห็นว่าความจริงนั้นไม่ได้ใหม่อะไรเลย เป็นแนวคิดย้อนหลังไปในยุค "เหมาอิสต์" เสียด้วยซ้ำไป มันเลื่อนลอยตกยุคมานานแล้วไม่ต่ำกว่าห้าสิบปี ถ้าเหมาอิสต์ยังอยู่ในประเทศจีนผมบอกได้เลยว่าจีนจะไม่มีทางยิ่งใหญ่แบบวันนี้ และความเสียหายที่เกิดขึ้นกับจีนในยุค แก็งค์ออฟโฟร์ นั้นใหญ่หลวงนักกับนโยบาย ทำลายรากเหง้าของจีน นิสัยเก่า, ความคิดเก่า, ประเพณีเก่า, และวัฒนธรรมเก่า แบบถอนรากถอนโคนที่แม้แต่ประธานเหมาเองก็ไม่คิดว่าจะทำไปไกลถึงขนาดนี้ แต่แก็งค์ออฟโฟร์ของนางเจียงจิงกล้าที่จะทำ

วันที่ 6 ตุลาคม ที่ตรงกันโดยบังเอิญนั้นทั้งประเทศไทยและประเทศจีนมีเรื่องตรงกันอยู่อย่างหนึ่งคือแนวความคิดแบบเหมาอิสต์ในสังคมของคนหนุ่มสาวโดนกวาดทิ้งไปจากประเทศ ขณะที่ไทยเองก็เป็นวันที่น่าเศร้าอีกวันที่เรามีความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคม ผมจะไม่พูดถึงเรื่องเหตุการณ์นี้ในเมืองไทยแต่จะข้ามไปพูดเรื่องของจีนแทน เพราะเรากับจีนเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งที่ช่วงเวลานั้นมีการใช้มือของคนหนุ่มสาวและเยาวชนเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพียงแต่ของจีนนั้นสร้างความเสียหายยาวนานกว่าเรา รวมแล้วเป็นสิบปี ขณะที่ไทยที่มีเวลาสั้นๆ เพียงสามปีเท่านั้น

วันที่ 6 ตุลาคม 1976 นั้นคือวันที่จีนล้มแนวคิดเก่าแล้วก้าวไปสู่จีนใหม่ วันนั้น นายเติ้ง เสี่ยวผิง นายหวาง ตง ชิง นายพล เย่ เจิ้น อิง ได้ล้มระบบเหมาอิสต์แปรรูปแปลงร่างที่นางเจียงจิง ภริยาประธานเหมาเอามาเชิดร่วมกับแก็งค์ออฟโฟร์ ตั้งแต่ปลายยุคเหมาโดยใช้เยาวชนเรดการ์ดเป็นมือเท้าโดยเริ่มใช้ความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การใช้มือเยาวชนนั้นเป็นเรื่องง่ายเพราะเด็กพวกนี้ไม่มีประสพการณ์ ไม่เคยมีอำนาจเหนือผู้ใหญ่ เมื่อไรที่เสพติดอำนาจที่ตัวเองไม่คิดว่าจะมี เด็กพวกนี้ก็พร้อมจะยอมทำทุกอย่าตามแต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่อำนาจบางส่วนอยู่ในมือของแกงค์ออฟโฟร์ของนางเจียงจิงจะบัญชา

เด็กพวกนี้โดนล้างสมองและถูกยื่นอำนาจที่ตัวเองไม่เคยมีให้ กล้าแม้จะลากแม้กระทั่ง ครู พ่อ แม่ ออกมาประจานในที่ชุมชน ถ้าทำตัวผิดจากนโยบายทำลาย 4 สิ่งเก่าของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำลายวัดและสุสาน ที่เป็นตัวแทนของสิ่งเก่า แม้กระทั่งสุสานของขงจี้อและห้องสมุดของขงจื้อที่อยู่มานับพันปีก็ถูกทำลาย สิ่งเคารพต่างๆ ถูกทุบเผาทิ้ง บัญฑิตในสังคมที่ยึดถือแนวจีนเก่าถูกลากออกมาทำโทษ หรือแม้กระทั่งฆ่าทิ้งกลางถนนโดยฝีมือเยาวชน ห้องสมุดเก่าตามวัดที่เก็บหนังสือทางศาสนาอายุย้อนไปเป็นพันปีทั่วประเทศก็ถูกรื้อเอามาเผาทิ้ง เรียกว่าในช่วงเวลานั้นจีนสูญเสียวัตถุทางวัฒนธรรมไปมหาศาล เสียหายไม่ต่างกับห้องสมุดอเล็กซานเดียของอียิปต์โดนเผาในอดีตเลยทีเดียว

ผมเองนั้นรู้ว่าความคิดแนวนี้รุนแรงและอิมแพคกับคนหนุ่มสาวเพียงใด เพราะเวลานั้นตัวผมเองในวัยหนุ่มก็ยังอินกับความคิดแบบนี้ จะบอกว่าเวลานั้นผมยังอยู่ในกระสวนทางความคิดของคนหนุ่มสาว "ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย" และแนวทางของเหมาอิสต์แปลงร่างในยุคนางเจียงจิงนั้นเข้าใจง่าย จับตลาดเยาวชน ดูเป็นรูปธรรมกว่าแนวคิดอื่น จะบอกว่าต่อให้คนโง่ที่สุดอ่านแล้วก็เข้าใจ ซึ่งการเข้าใจง่ายแบบนี้ไม่ใช่เลยกับหนังสือด้านสังคมนิยมและเศรษฐศาสตร์มวลชนที่อ่านยากของ อาดัม สมิธ, ทอมัส มอร์, คาร์ล มาร์กซ์, ฌ็อง-ฌัก รูโซ, ปิแอร์ โจเซฟ ปรูดอง ฯลฯ ที่ผมเองกว่าจะเข้าใจข้อความจากหนังสือพวกนี้อย่าถ่องแท้ก็อายุเกินสามสิบไปแล้ว

แนวคิดซ้ายจัดนั้นเป็นภัยพอๆ กับขวาจัด บ้านเมืองเราก็เคยผ่านยุคขวาจัดหรือขวาพิฆาตซ้าย "เปรี้ยงๆ คือเสียฟ้าฟาด" ของสถานีวิทยุยานเกราะในช่วงปี 2519 มาแล้ว เวลานั้นผมเองต้องฟัง อุทาน อุทิศ สมัคร สามผู้จัดรายการตัวหลักทุกเย็นเพราะบ้านในซอยจะเปิดดังๆ กันทุกบ้าน และถึงวันนี้ทุกอย่างก็พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า "ขวาจัดนั้นเลวร้ายไม่ต่างกับซ้ายจัด" เพราะแนวคิดทั้งคู่สร้างความเสียหายแก่ชาติรุนแรงและฝังลึกเป็นบาดแผลของชาติไม่ต่างกัน

ผมถึงได้บอกว่าผมดูข่าวทีวีวันนี้ แนวคิดหลงยุค เก่าและล้าสมัย ได้กลับมาในกล่องใหม่และไหลออกจากปากของนักการเมืองหน้าใหม่ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ อ้างว่ามีความคิดแบบใหม่ อ้างว่าจะสร้างอนาคตใหม่ให้แก่ชาติ แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย เพราะที่หลุดออกมาจากปากคือวาทะกรรมหลงยุคล้าสมัยไปห้าสิบปีแล้วทั้งนั้น

แต่เด็กที่เกิดไม่ทัน ไม่เคยฟังแบบนี้มาก่อน นั้นไม่ใช่เลย สิ่งนี้กระทบใจแบบรุนแรงไม่ต่างกับคนรุ่นผมที่เคยโดนวาทะกรรมแบบนี้กระทบใจมาแล้ว.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"