เมืองไทยหลังเลือกตั้งใหม่


เพิ่มเพื่อน    

 ขณะที่กำลังเถียงเรื่องปลดล็อคพรรคการเมืองกันอยู่ในทุกวันนี้  บรรดา กปปส.กว่า ๕๐ คน ต่างก็กำลังเร่งเตรียมเงินประกันตัว คนละ ๔ แสน - ๖แสนเพื่อขึ้นศาลกันในปีใหม่นี้  ถ้าหาไม่ได้ท่านก็ปลดล็อคเรือนจำแน่นอน

ความที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้คือ ข้อต่อสู้คดีเรื่องสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญที่ กลุ่มผู้ถูกกล่าวหากำลังพัฒนากันอยู่   มีผมซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาได้ร่างขึ้นเป็นเค้าโครงไว้ดังแนบ  เมื่อร่างจบแล้วผมก็ตระหนักแล้วว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับเมืองไทยหลังเลือกตั้งใหม่     จึงขอเรียนนำเสนอ เผยแพร่ให้คิดอ่านร่วมกันในวงกว้างต่อไป เพราะนี่คืออนาคตร่วมกันของทุกคน  ส่วนคดี กปปส.นั้นจะสู้จะอ้างกันอย่างไร เราก็อย่าไปก้าวล่วง ปล่อยให้พิสูจน์ความถูกต้องกันไปตามกระบวนการยุติธรรม

.........................................

 

บทวิเคราะห์“สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญให้พ้นจากระบอบทักษิณ”

       มาตรา ๖๙  บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี  ซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

บทบัญญัติข้างต้น ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐นี้  มิได้มีไว้เพื่อต่อต้านรัฐประหาร  แต่เกิดจากการเรียนรู้บทเรียนจากเผด็จการนาซีเยอรมันที่ใช้กลไกที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญของระบอบเสรีประชาธิปไตยขึ้นครองอำนาจได้ ด้วยวิธีการอันผิดวิถีทางที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้  จนกลายเป็น “เผด็จการจากหีบเลือกตั้ง” ในที่สุด  วัตถุประสงค์ของมาตรา ๖๘และ๖๙ เช่นที่กล่าวนี้ ศาลรัฐธรรมนูญไทยได้วินิจฉัยรับรองจนมีผลผูกพันการใช้กฎหมายของทุกหน่วยงานไว้แล้ว ในคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญที่ ๓-๕/๒๕๕๐ หน้า ๙๑

สำหรับการใช้สิทธิโดยมิชอบหรือโดยผิดครรลอง ในกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยผ่านพรรคการเมืองและขบวนการมวลชน ที่ผ่านมานับแต่ปี ๒๕๔๔ นั้น ปรากฏชัดเจนแล้ว  โดยลำดับดังนี้

“ความคิดลงทุน” ของระบอบทักษิณ

       ๑) ระบอบทักษิณถือเอา “การเมืองเป็นการลงทุนประกอบการ”เพื่อหาประโยชน์จากราชการมาตั้งแต่แรก   เริ่มตั้งแต่การปฏิเสธรัฐธรรมนูญไม่ยอมทิ้งหุ้นสัมปทานโทรคมนาคม โดยซุกหุ้นไว้ในนามบุตรชายบุตรสาวและน้องสาวก่อน   จากนั้นก็ลงทุนร่วมกับผู้มีบารมีมีความกว้างขวางในพื้นที่ต่างๆ มาร่วมตั้งสาขาพรรคและลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งประเทศ โดยมีสินค้าประชานิยมเป็นสินค้ายอดนิยม จนชนะเลือกตั้งในครั้งแรกอย่างท่วมท้น ครั้นเมื่อเลือกตั้งครั้งที่สองก็มีนายทุนมาร่วมลงทุนอีกหลายราย ทั้งทุนสื่อวิทยุโทรทัศน์ ทุนพลังงาน ทุนยานยนตร์ ทุนอสังหาริมทรัพย์ฯ 

ต่อมาเมื่อต้องหนีคดีไปต่างประเทศ ก็ต้องส่งตัวแทนเชิดลงสมัครแทน พอส่งมาถึงน้องสาว ก็โหมสินค้าประชานิยมเป็นการใหญ่ พอได้อำนาจอีกครั้งหนึ่งก็ทุ่มกำลังจะแก้รัฐธรรมนูญ แล้วตรากฎหมายนิรโทษกรรม จนถูกประชาชนต่อต้านครั้งใหญ่ในที่สุด

หลักฐานการลงทุนเพื่อก่อตั้งพรรคการเมืองนี้ ปรากฏในรายงานการตรวจสอบของ คตส. ที่พบการเปิดบัญชีเฉพาะในช่วงตั้งพรรคการเมืองและเลือกตั้งทั่วไป ปลายปี ๒๕๔๓ จำนวน ๔,๐๐๐ ล้านบาท แล้วเบิกเป็นเงินสดทุกครั้งรวมสามร้อยกว่าครั้งจนหมดบัญชี   ช่วงเลือกตั้งทั่วไปปี ๒๕๕๐ ก็พบการขายหุ้นธนชาติประกันภัย ได้เงินสด ๖๐๐ ล้านบาทแล้วหายไปอีกครั้งหนึ่ง

ส่วนหลักฐานการถอนทุนด้วยอำนาจรัฐก็พบทั้ง การใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบเพิ่มมูลค่าให้แก่ธุรกิจชินคอร์ป ๕ ครั้ง รัฐเสียหายไปกว่าแสนล้านบาท แล้วใช้เสียงข้างมากแก้กฎหมายโทรคมนาคม ลดเพดานการถือครองหุ้นให้ต่างชาติ  เพื่อขายหุ้นชินคอร์ปให้ต่างชาติได้กำไรมากมาย จนในที่สุดศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ก็ได้มีคำพิพากษาว่ามูลค่าหุ้นส่วนที่เพิ่มขึ้นหลังจากเป็นนายกรัฐมนตรีหรือกำไรที่ได้นั้น  เป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิสมควร จึงให้ยึดทรัพย์ที่ได้จากการขายหุ้นกว่า ๑๔,๐๐๐ ล้านบาท 

คำพิพากษานี้แสดงข้อยุติทางกฎหมาย ถึงพฤติการณ์การถอนทุนทางการเมืองของระบอบทักษิณอย่างชัดเจน

๒) ในส่วนความคิดเบื้องหลังสินค้าประชานิยมต่างๆนั้น  ก็มองว่า“ การเลือกตั้งคือการร่วมทุน” โดยระบอบทักษิณถือว่าคนลงคะแนนเลือกตั้งพรรคของตน คือผู้ร่วมทุนที่ต้องได้ปันผลจากอำนาจรัฐตามนโยบายประชานิยมที่ได้ประกาศไว้ในตลาดการเมือง  ครรลองที่มองการเลือกตั้งเป็นการหาผู้ร่วมทุนมาร่วมแบ่งประโยชน์จากอำนาจรัฐเช่นนี้  แท้ที่จริงคือการทำให้ประชาธิปไตยกลายเป็นคอร์รัปชั่นหมู่ เกิดนโยบายที่อยู่นอกเหนือแนวนโยบายแห่งรัฐตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เป็นอันมาก เช่นนโยบายจำนำข้าวทั้งประเทศที่ผิดครรลองหาความสุจริตไม่ได้มาตั้งแต่ต้นมือ จนส่งผลยุติเป็นคำพิพากษาลงโทษในคดีจำนำข้าว ๒ คดี  รวมทั้งคำสั่งทางปกครองที่ให้อดีตนายกรัฐมนตรีที่เป็นน้องสาว ต้องรับผิดในทางปกครองเป็นหมื่นล้าน ด้วย

ในครรลองที่มองการเลือกตั้งเช่นนี้ การยุบสภาแต่ละครั้ง ทั้งช่วงปลายรัฐบาลทักษิณ และปลายรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงมีค่าเป็นการออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนใหม่ เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตทางธุรกิจการเมืองแต่ละช่วงเท่านั้น   หาได้เกิดจากความขัดแย้งหรือข้อติดขัดในสภาแต่อย่างใดไม่ ซึ่งการยุบสภาเช่นนี้ ก็ทำให้พรรคฝ่ายค้านปฏิเสธไม่ร่วมลงสมัครรับเลือกตั้งมา ๒ ครั้งแล้ว

“ความเคลื่อนไหวนอกระบบ” ของระบอบทักษิณ

๓)ความเคลื่อนไหวของระบอบนี้จะพึ่งพาอาศัยพื้นที่นอกรัฐธรรมนูญอย่างสำคัญทั้งอาศัยระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย มาสร้างเป็นการแบ่งพรรคแบ่งพวกขึ้นมา  คนยากจนก็ต้องคิดเข้าพึ่งพาจากโฆษณาสินค้าประชานิยมต่างๆ  เขตเลือกตั้งไหนไม่เลือกระบอบทักษิณ ก็ไม่ใช่พวกพ้อง ไม่แบ่งสรรผลประโยชน์ให้ จน“ระบบผู้แทน”ตามรัฐธรรมนูญสิ้นความหมาย ยิ่งเลือกตั้งก็ยิ่งแตกแยกไปทั่ว

         คละ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ครั้นเมื่อเสียอำนาจก็อัดฉีดความเกลียดชัง”อำมาตย์” สร้างเป็นขบวนการมวลชนขึ้นมา บีบรัฐบาลให้ยุบสภา ยึดบ้านยึดเมือง ก่อการร้ายบุกโรงพยาบาล ยิงชาวบ้านยิงทหารตาย รังควานก่อกวนทำลายเป้าหมายทางการเมืองได้ตามชอบ ทั้ง ศาล,ป.ป.ช.,พรรคฝ่ายค้าน,รัฐบาล,องคมนตรี,สถาบันสูงสุด เหล่านี้ล้วนถูกรังควานจาบจ้วงได้ทั้งสิ้น ซึ่งมือเท้าเหล่านี้ก็ต้องโทษไปหลายคนแล้ว การสร้างขบวนการมวลชนจากความเกลียดชังและใช้ความรุนแรงเช่นนี้ ก็แสดงถึงการเคลื่อนไหวนอกระบบเพื่อแสวงหาอำนาจปกครองโดยวิธีการที่ผิดวิถีทางรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนมาก 

ในส่วนการเลือกตั้งนั้น ระบอบนี้ก็ทำได้แม้กระทั่งจ้างพรรคเล็กมาลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งกับตนก็ทำมาแล้ว จนถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคมา ๑ ครั้ง  กกต.ที่เป็นพวกพ้องร่วมช่วยเหลือก็ต้องคดีถึงจำคุกไป ๓ คน   พอเลือกตั้งใหม่เปลี่ยนชื่อใหม่ ก็ทุจริตถูกศาลสั่งยุบพรรคไปอีกครั้ง

จนท้ายที่สุดเมื่อต้องหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ ก็ยังสามารถ ตั้งรัฐบาลหุ่น สร้างนโยบาย ถ่ายทอดการชี้แจงนโยบายมาจากต่างประเทศ ให้สมาชิกทั้งประเทศฟังได้ถึง ๒ ชั่วโมง ประกาศคำขวัญ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”  ครอบงำทั้งพรรคและรัฐบาล โดยมิชอบต่อรัฐธรรมนูญได้จนสิ้นอายุ  พฤติการณ์ที่ตัวอยู่นอกระบบแล้วตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นการแสวงอำนาจถืออำนาจนอกครรลองรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น

“ระบบเผด็จการเสียงข้างมาก”ของระบอบทักษิณ

๔) ระบบในระบอบทักษิณนั้นถือเอา “หีบเลือกตั้งเป็นกฎหมายสูงสุด” ใครแพ้เลือกตั้งตกเป็นพรรคฝ่ายค้านแล้วต้องเงียบ ไม่มีสิทธิ ไม่มีเสรีภาพอะไรในการประชุมสภาเลย  ระบอบนี้พร้อมจะใช้เสียงข้างมากปิดปากได้ทุกเมื่อ

ในส่วนกระบวนการตรวจสอบนั้น ระบบของระบอบนี้ปฏิเสธอำนาจตรวจสอบทั้งปวงโดยสิ้นเชิง ทั้งโดยฝ่ายค้าน โดยองค์กรอิสระทั้งปวง ศาลทั้งหมด เหล่านี้ล้วนถูกความพยายามที่จะครอบงำ เมื่อครอบงำไม่ได้ดังใจก็จะโจมตีด่าว่า ประกาศปฏิเสธคำวินิจฉัยได้ทุกเมื่อ   หรือแม้จนอำนาจรับรู้ ให้คำแนะนำ ท้วงติง ขององค์พระประมุข ก็ยังถูกเพิกเฉย ถวายร่างกฎหมายที่ค้างคาเป็นคดีอยู่ในศาล ก็กระทำได้ หรือแม้ในช่วงบั้นปลายก็บังอาจประกาศยุบสภา โดยยังมิได้เข้าเฝ้าถวายรายงานเลย

พฤติการณ์ที่ถือว่าชนะเลือกตั้งแล้วทำได้ทุกอย่างนี้ นับว่านอกครรลองรัฐธรรมนูญโดยสิ้นเชิง เพราะตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญนั้น การเลือกตั้งเป็นแต่เพียงการมอบ หน้าที่และความรับผิดชอบ เป็นเบื้องต้นเท่านั้น   หาใช่การมอบสิทธ์ขาดแต่อย่างใดไม่

๕) ในช่วงปลายสมัยยุคนายกฯหุ่นเชิด  ระบอบนี้ได้พยายามใช้อำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างบิดผันถึง ๒ ครั้ง   ครั้งแรกก็พยายามจะสร้างกระบวนการร่างใหม่ทั้งฉบับ  ครั้นไม่สำเร็จ  ก็หันมาแก้ไขเป็นรายมาตรา  โดยมีสาระล้มหลักการพื้นฐานในรัฐธรรมนูญหลายประการ เช่นเพิ่มอิสระรัฐบาลในการทำข้อตกลงสำคัญกับต่างประเทศ หรือให้วุฒิสภามาจากเลือกตั้งได้หลายสมัยไม่จำกัด  และลาออกจากพรรคการเมืองมาสมัครเลยก็ได้ ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงถึงการแสวงอำนาจโดยผิดครรลอง จนศาลรัฐธรรมนูญต้องยับยั้งโดยพิพากษาให้ยุติ  แต่ตัวศาลเองก็ต้องถูกตั้งโต๊ะ เรียงหน้าแถลงโจมตีกล่าวหาอย่างหนัก

๖) ท้ายที่สุดเมื่อไม่อาจใช้อำนาจปรับแก้รัฐธรรมนูญได้ตามอำเภอใจ  ก็ยังฝืนตรากฎหมายนิรโทษกรรมที่แอบแฝงการนิรโทษคดีคอร์รัปชั่นให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ และแกนนำมวลชนของตนไว้ด้วย  แม้ฝ่ายค้านจะพยายามอภิปรายปรับแก้อย่างใด  ก็ใช้เสียงข้างมากปิดปากโดยปฏิบัติขัดต่อข้อบังคับการประชุมอย่างชัดแจ้ง  ได้ฝืนดึงดันรวบรัดให้ครบทุกมาตราจนถึงตี ๔  ทำให้ประชาชนไม่พอใจ ระเบิดเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ในที่สุด

ข้อสรุป

๗) จากที่กล่าวมาจะพบชัดแจ้งว่า “ระบอบทักษิณ”มิใช่ชื่อเล่น มีตัวตนชัดแจ้ง เติบโตยั่งยืนอยู่จริง ทั้งความคิด ความ เคลื่อนไหว ครอบงำทำลายประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง หาใช่เป็นเพียงการทุจริตประพฤติมิชอบที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ตามธรรมดาธรรมชาติของการเมืองปรกติแต่อย่างใดไม่

ระบอบนี้ยิ่งนานวันก็ยิ่งเติบโต สร้างความเสียหายต่อบ้านเมืองมากขึ้นทุกขณะ  ก้าวกำเริบสูงสุด ถึงขนาดลงมือจะรื้อรัฐธรรมนูญ โจมตีปฏิเสธอำนาจตุลาการที่ท้วงติงพิพากษาว่าอย่าใช้อำนาจผิดครรลอง ถูกตัดสินให้ยุติการล้มรัฐธรรมนูญติงแล้วก็จนมุมต้องทุ่มเทผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมอันมิชอบ โดยปฏิเสธข่มเหงสิทธิเสรีภาพเสียงข้างน้อยและการรับรู้ของประชาชนอย่างสิ้นเชิง ครั้นถูกประท้วงใหญ่ทั่วประเทศ ก็หนีไปพึ่งหีบเลือกตั้ง กล้าดีถึงขนาดประกาศยุบสภาโดยไม่ผ่านพระราชอำนาจ

ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดซ้ำซาก ต่อเนื่องยาวนาน ยุติเป็นคำพิพากษาในศาลหลายคดีทั้งศาลรัฐธรรมนูญ, ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง,ศาลอาญา,ศาลแพ่ง รวมทั้งคำปรารภในรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ เอง ล้วนบ่งบอกให้เห็นเป็นข้อยุติทางกฎหมายได้แล้วว่า ระบอบทักษิณถือกำเนิดและเติบโตอยู่ได้ จากการใช้สิทธิเสรีภาพนอกครรลองรัฐธรรมนูญมาตลอด นี่คือความจริงหาใช่คำปลุกระดมหรือคำปราศรัยตามอำเภอใจแต่อย่างไม่

เมื่อถึงจุดที่ได้เกิดอันตรายต่อการปกครองโดยรัฐธรรมนูญอย่างถึงที่สุดแล้ว จึงจำเป็นและสมควรและชอบธรรมยิ่ง ที่ปวงชนชาวไทยทุกคนจะใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ต่อต้านเผด็จการในเสื้อคลุมประชาธิปไตยของระบอบนี้ได้

๘) ข้อต่อสู้เรื่องสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญของผู้ถูกกล่าวหาในคดี กปปส.นี้   จึงหาใช่การตอกย้ำความแตกแยกปฏิเสธ “ความปรองดอง”แต่อย่างใดไม่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นและที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มิใช่ความขัดแย้งในทางเชื้อชาติ ศาสนา หรือลัทธิการเมือง  แต่เป็นผลร้ายจากการเข้าครอบงำระบอบเสรีประชาธิปไตยไทยกว่า ๑๐ ปีโดย ความคิด ความเคลื่อนไหว และระบบ ที่ผิดครรลองรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ  

สิ่งที่ต้องชำระสะสางในปัจจุบัน คือการเรียนรู้ทำความเข้าใจร่วมกันทั้งประเทศว่า ความผิดพลาดซึ่งการใช้สิทธิโดยผิดครรลองนั้นอยู่ที่จุดใดบ้าง ทั้งความคิด ความเคลื่อนไหวและระบบอำนาจที่ผ่านมา  เรียนรู้แล้วก็จะพบว่าที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นไม่ใช่ความแตกแยก แต่เป็นความหลงผิดหลงทางที่ต้องเรียนรู้ร่วมกัน เรียนรู้ให้ลึกซึ้งอย่างเป็นกระบวนการให้เหมือนเยอรมันหลังยุคนาซีที่เกือบจะสิ้นชาติ เรียนรู้จนสามารถกระจ่างใจได้สำนึกร่วมกันว่า

   “การเล่นการเมืองนอกครรลองรัฐธรรมนูญอย่างนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก!!!

ข้อต่อสู้ในคดี กปปส.เรื่องสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญในครั้งนี้ จึงควรจะเป็นก้าวแรกของการเรียนรู้อันจำเป็นข้างต้น  หาใช่การหาทางเอาตัวรอดต่อสู้คดีโดย ย่ำยี ทับถม โจมตีผู้อื่น จนยังผลขยายความขัดแย้งในสังคมให้แผ่กว้างยืดเยื้อต่อไปอีกแต่อย่างใดไม่

หากในสามปีที่ผ่านมา บทเรียนและสำนึกรู้ร่วมกันนี้ยังไม่เกิดขึ้น มีแต่การมองปัญหาเป็นตัวบุคคลนำมา“ปรับทัศนะคติ”โดยเปะปะ แล้วตกปลักจมอยู่กับงานรัฐบาลจนเฉื่อยชาต่องานปฏิรูปที่ตรงเป้า ก็เชื่อแน่ได้ว่า..การเลือกตั้งครั้งหน้าตามโรดแมพอันเลื่อนลอยภายใต้รัฐธรรมนูญอันฟุ้งซ่านฉบับนี้ จะต้องพาบ้านเมืองไปสู่ทศวรรษแห่งวิกฤตอีกทศวรรษหนึ่งอย่างแน่นอน

นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น..ไม่ว่าจะปลดล็อคเมื่อไหร่ จะรีเซตพรรคการเมืองหรือไม่หรือแม้กระทั่งนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้งจะชื่อประยุทธ์ก็ตาม

                                 ..............................

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"