ฟังจนเหนื่อย!!!


เพิ่มเพื่อน    

 

                                                         (1)

                เผอิญว่าช่วงหลังๆ...จะเป็นด้วยเหตุเพราะความแก่ ความชรา หรือเพราะอุปนิสัยใจคอ ที่ย่อมต้องมีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ เลยทำให้แค่ประมาณ 2 ทุ่ม 3 ทุ่ม มีอันต้องง่วงหงาวหาวนอน ต้องซบหัวลงไปกับหมอน สิ้นสติสมประดีหลับสนิทนิทราไปโดยตลอด จึงเป็นอันต้องพลาดโอกาส ช่วงจังหวะที่รุ่นพี่นักเรียนนายร้อย จปร. พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส” ลุกขึ้นมาจวกกับรุ่นน้อง อย่าง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในระหว่างการแถลงนโยบายรัฐบาล ในรัฐสภา ที่ว่ากันว่า...เล่นเอาใครต่อใคร ซี้ดๆ ซ้าดๆ พอๆ กับ ลิเวอร์พรุนปะทะแมนฯ ยูฯ เอาเลยถึงขั้นนั้น...

                                                         (2)

                แต่ก็นั่นแหละ...แม้ไม่ได้มีโอกาสเห็นช่วงจังหวะ ไฮไลต์, ไฮสปีด, ไฮพาวเวอร์ อะไรต่อมิอะไรที่ว่า โดยสีสัน บรรยากาศ ภายใน รัฐสภา หรือในสถานที่ที่ถือเป็นเวทีพบปะ แลกเปลี่ยน ความคิด ความเห็น ระหว่าง สัตบุรุษ ทั้งหลาย โดยรวมๆ แล้ว มันก็คงไม่ต่างอะไรกับเท่าที่มันเคยเป็นมาในอดีต และต่อเนื่องมาโดยตลอดนั่นเอง คือกลายเป็นเวทีการปะทะของบรรดา อสัตบุรุษ หรือ ทุรบุรุษ กันซะเป็นหลักใหญ่ หรือกลายเป็นสถานที่ที่ต่างฝ่ายต่างงัดเอาสิ่งที่สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ท่านเพิ่งหยิบเอามาพูดถึง กล่าวถึง ไปเมื่อช่วงวันอาสาฬหบูชาที่ผ่านมานี้ คือสิ่งที่เรียกๆ กันว่า วจีทุจริต ไม่ว่าจะเป็นคำพูดประเภทส่อๆ เสียดๆ คำด่า คำหยาบ คำเพ้อเจ้อเหลวไหล ไปจนถึงคำเท็จ ฯลฯ มาใช้ในการกล่าวหา ตอบโต้ ซึ่งกันและกัน โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์ และเครื่องมือใหม่ๆ ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย...

                                                       (3)

                คือมันอาจกลายเป็น กรรมวิธี เป็น ประเพณี หรือเป็นลักษณะทางวัฒนธรรม ของระบบการเมือง การปกครองประเภทนี้ หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้ ที่มันค่อนข้างเข้ากับ วาสนา หรือ อุปนิสัยดั้งเดิม ของผู้ที่ยังไม่สามารถยกระดับตัวเองขึ้นเป็น สัตบุรุษ ได้อย่างครบถ้วน สมบูรณ์ การด่าว่า ด่าทอ เสียดสี เยาะเย้ยไยไพ การนำเอาคำหยาบ คำเพ้อเจ้อเหลวไหล ไปจนแม้แต่คำเท็จ มาใช้เป็นอุปกรณ์ เครื่องมือ ในการโต้ตอบ เล่นงาน ซึ่งกันและกัน มันเลยกลายเป็นสิ่ง ปกติธรรมดา สำหรับระบบการเมืองในแนวนี้ ที่ไม่ว่าใครต่อใคร...มีแต่ต้องหัด ทำใจ ถือซะว่าเป็นเรื่อง ปกติ ไม่งั้น...มีแต่ต้องเกิดอาการ หัวร้อน เกิดอาการวูบๆ วาบๆ จนต้องออกอาการ ทุจริต ในแบบหนึ่ง แบบใด ไม่อาจประคับประคองรักษาความเป็นผู้มี สัมมาวาจา หรือ ปิยวาจา ใดๆ ได้เลย...

                                                       (4)

                เรียกว่า...ระดับ รุ่นพี่ กับ รุ่นน้อง ถึงกับต้องประกาศตัดญาติ ขาดมิตร กันใน รัฐสภา ชนิดต่อหน้า-ต่อตา ต่อหน้าประจักษ์พยานนับเป็นร้อยๆ แม้จะถือเป็นเรื่อง ปกติธรรมดาทางการเมือง แต่ด้วยลักษณะการเมืองเช่นนี้นี่เอง ที่มันน่าจะยิ่งส่งผลให้บรรยากาศแบบที่สมเด็จพระสังฆราชฯ ท่านทรงระบุเอาไว้ว่า ความวิวาท บาดหมาง ความขุ่นเคือง และความคลางแคลงใจซึ่งกันและกัน มันก็ย่อมต้องเป็นสิ่ง ปกติธรรมดา ตามไปด้วย อาจในระดับทั่วทั้งสังคมเอาเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะเมื่อยุคนี้ สมัยนี้ มันเต็มไปด้วย อุปกรณ์และเครื่องมือ ที่สุดแสนจะก้าวหน้า ทันสมัย ในการเผยแพร่สิ่งต่างๆ ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาผู้คนในระดับต่างๆ ทั้งในด้านกว้าง ด้านลึก ยิ่งกว่าในยุคอดีตที่ผ่านมา ไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า...

                                                        (5)

                ดังนั้น...โอกาสที่สิ่งอันเป็นที่พึงปรารถนาของสังคมทั่วทุกสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมที่มีระบบการเมือง การปกครอง ในลักษณะใดๆ ก็แล้วแต่ ล้วนแล้วแต่เป็นที่ต้องการไปด้วยกันทั้งสิ้น นั่นก็คือ ขันติธรรม หรือความอดทน อดกลั้น ต่อสิ่งที่ตัวเองไม่ถูกใจ ชอบใจ อันจะเป็นตัวรองรับคุณธรรมอีกชนิดหนึ่ง คือ สามัคคีธรรม ที่ไม่ว่าสังคมหนึ่ง สังคมใด ประเทศหนึ่ง ประเทศใด หากปราศจากเสียซึ่งสิ่งที่ว่านี้แล้ว มีแต่ต้อง ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย ลูกเดียวเท่านั้น มันจึงกลายเป็นสิ่งที่ ยากซ์ซ์ซ์ เอามากๆ ที่จะอุบัติขึ้นมาได้แบบเป็นจริง เป็นจัง หรือพูดง่ายๆ ว่า...ด้วยระบบการเมือง การปกครอง ในลักษณะที่ว่านี้ อาจต้องหาทาง ทำใจ กันไปตามสภาพ ว่าการ กัดกัน หรือการไล่ถีบ ไล่บด ไล่บี้ ระหว่างกันและกันนั้น ถือเป็นเรื่อง ปกติธรรมดา อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้...

                                                       (6)

                สรุปแล้ว...เอาเป็นว่า บรรยากาศเริ่มแรกของการหวนกลับไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ภายใต้การแถลงนโยบายของรัฐบาลคราวนี้ ก็แทบไม่ได้สะท้อนอะไรใหม่ๆ หลังเหตุการณ์บ้านเมืองผ่านไปมาประมาณ 5 ปี 6 ปี ทุกสิ่งทุกอย่าง...ดูจะเริ่มวนมา-วนไป กลับมาสู่ที่เก่า หรือกลับมาสู่จุดเดิมๆ อีกนั่นแหละ ในฐานะคนแก่ คนชรา ที่ไม่เพียงแต่ใกล้จะ หมดไฟ แต่ยังใกล้หมดเวลาของตัวเอง ในการเฝ้าสังเกตการณ์ความเป็นไปของสังคมแห่งนี้ เข้าไปทุกที เลยอดไม่ได้ที่จะหวนกลับไปนึกถึงระบบการเมือง การปกครอง ที่อดีตนักปราชญ์ชาวกรีก อย่าง โสเกรติส หรือ เพลโต เคยจัดอันดับให้อยู่เหนือไปกว่า ระบอบประชาธิปไตย ขึ้นมาไม่ได้ ระบบที่ต้องอาศัยผู้ที่ได้รับการฝึกปรือ เคี่ยวกรำ ในด้าน คุณธรรม-ศีลธรรม มาแล้วเป็นอย่างดี ไม่ใช่ประเภทที่ ขันติ ต้องกลายสภาพเป็น ขันแตก เอาง่ายๆ!!!

                              ---------------------------------------------------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"