ปชป.วางเป้าเลือกตั้งครั้งหน้าขอ 155 ที่นั่ง


เพิ่มเพื่อน    

วันที่ 18 ส.ค. ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ จัดสัมมนา “รวมพลังประชาธิปัตย์ ภาคเหนือ” โดยนายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรค และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ภาคเหนือ กล่าวเปิดการสัมมนาตอนหนึ่งว่า จากนี้ทุกคนต้องทำงานตามยุทธศาสตร์ที่พรรคมอบหมาย ในส่วนของภาคเหนือจะต้องทำพื้นที่ด้วยการกำหนดเป้าหมายสมาชิกพรรค แต่ละเขตควรมีสมาชิก 100 คนขึ้นไป ส่วนเขตที่มีความพร้อมมีส.ส.อยู่ ขอให้มีการจัดตั้งสาขาพรรค และควรต้องมีสมาชิกไม่ต่ำกว่า 500 คน ส่วนการขับเคลื่อนของพรรคจะยึด 3 หลัก คือ สมาชิก สภา และรัฐบาล ในส่วนของภาคเหนือจะต้องมียุทธศาสตร์หลัก มีคณะกรรมการขับเคลื่อนตามหลักยุทธศาสตร์ใหญ่ และมีการเรียกร้องให้มีนโยบายภาค

ด้าน นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกลยุทธ์การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรค ว่า การเข้าสู่โลกออนไลน์ ออฟไลน์ นำมาสู่การวางยุทธศาสตร์ การขับเคลื่อน และการวางกลไก จะมีการสร้างนักรบในการทำงานเพื่อประชาชนของพรรค เขตละ 5 คน เป็นทีมอเวนเจอร์ของเขตเพื่อทำงานร่วมกับส.ส. อดีต ส.ส. โดยมีเวลาทำงาน 350 เขต ในระยะเวลา 4 เดือน วันนี้พรรคต้องรวมใจเป็น 1 มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน คือประชาชน และประเทศชาติ ความศรัทธาที่เกิดจากผลงานเท่านั้นจึงจะยั่งยืนที่สุด ความเปลี่ยนแปลงในโลกยุคดิจิตอลทำให้เราต้องปรับตัว แต่อุดมการณ์พรรคต้องไม่เปลี่ยนแปลง การทำงานต้องเปลี่ยนแนวคิด ต้องทำเพื่อประชาชนไม่ใช่เพื่อตัวเอง การลงพื้นที่ไม่ใช่เพื่อหาเสียง แต่เป็นการเรียกศรัทธาให้พรรคกลับมายิ่งใหญ่เหมือนในอดีต

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กลยุทธ์การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์จะยึดแนวทาง ติดอาวุธความคิด ใกล้ชิดมวลชน เปิดพรรคกว้าง สร้างเครือข่าย ขยายฐานพรรค ประจักษ์ผลงาน สื่อสารฉับไว อุดมการณ์ทันสมัย สร้างภาพลักษณ์ใหม่ ชนะใจประชาชน เราเป็นพรรคที่ไม่มีนายทุน แต่เราโชคดีที่ประชาชนอุดหนุนด้วยเงินภาษีมากที่สุดในประเทศ เราจะเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง จะต้องรักษาฐานเสียงเดิม 3.9 ล้านเสียง และเป้าหมายหลักคือจะต้องเอา 7 ล้านเสียงที่หายไปกลับคืนมาให้ได้ ทั้งนี้ พรรควางเป้าหมายว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะต้องได้ส.ส. 155 เขต คือ ภาคเหนือต้องได้ 20 เขต ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 25 เขต ภาคกลาง 30 เขต กทม. 30 เขต และภาคใต้ 50 เขต ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์จะต้องพร้อมทำงานไม่ว่าจะเป็นเสียงข้างมากหรือเสียงข้างน้อย   

ต่อมา นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ บรรยายในหัวข้อ “การขับเคลื่อน 3 กลไก (รัฐบาล - สภา - พรรค) สู่ชัยชนะการเลือกตั้ง” ว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาจำไว้เป็นบทเรียนสำหรับเราทุกคน ถือเป็นการปฏิรูปทางเทคโนโลยีทุกมติ และมีผลกับการเมือง การสู้ครั้งหน้าต้องทิ้งกรอบความคิดเดิมๆทั้งหมด เพราะเป็นโลกการสื่อสาร เราจะชอบหรือไม่ชอบ แต่ความจริงคือเราต้องสู้บนเวทีของโลกการสื่อสาร การเลือกตั้งที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์เตรียมรับมือแล้วแต่ยังสู้ไม่ได้ เพราะคู่ต้อสู้เข้มข้นกว่า มีการทำงานเชิงรุกกว่า พรรคอนาคตใหม่ชนะเพราะเตรียมการล่วงหน้ามา 2 ปี ก่อนเลือกตั้งมีการสำรวจ และกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน รวมถึงได้คะแนนที่เอื้อมาจากกรณีพรรคไทยรักษาชาติที่ถูกยุบด้วย แต่พรรคอนาคตใหม่ชัดเจนเรื่องกลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มคนลงคะแนนครั้งแรก และกลุ่มคนพิการ ทั้งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำเรื่องนี้ก่อนเขา แต่พรรคอนาคตใหม่ลงมือทำ เอาผู้สมัครที่เป็นคนพิการจริงๆมาเป็นผู้สมัคร และเป็นกรรมการบริหารพรรค ให้เห็นว่าเปิดกว้างอย่างแท้จริงไม่ได้พูดเฉยๆ ฉะนั้น ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหนีไม่พ้นเรื่องการสื่อสาร วันนี้จึงต้องล้างความคิดเดิมให้หมด ตนกลับบ้านทุกสัปดาห์เพราะกลัวสอบตกการเลือกตั้งครั้งหน้าเหมือนกัน แต่ขณะนี้ตนก็ทำการบ้านหนัก ถ้าวิเคราะห์ผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 100 คน จะเป็นคนที่อยู่บ้านเห็นเราทำงานจริงๆ 47 – 55 คน ที่เหลือทำงานนอกบ้านทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าคนอีกส่วนหนึ่งไม่เคยรับรู้เลยว่าเรากลับไปทำอะไรให้เขาบ้าง เพราะเขาไม่รู้และขาดการสื่อสาร เราจึงต้องปรับตัวเองเพื่อรับรูปแบบใหม่ให้ได้ เพราะการสื่อสารเป็นหัวใจของชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นอย่างมาก

นายจุติ กล่าวอีกว่า วันนี้จุดขายของพรรคอนาคตใหม่เหมือนพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2538 มีเสน่ห์มีแรงจูงใจว่าจะเป็นอนาคตของประเทศได้ มาวันนี้จุดขายไปอยู่ที่พรรคอนาคตใหม่ เขาไม่ได้ต้องการคนทุกกลุ่มในประเทศ แต่ต้องการเฉพาะบางกลุ่มขอแค่เพียงพอให้เขาชนะการเลือกตั้ง ทั้งนี้ คนรุ่นใหม่มองประวัติศาสตร์แค่ 5 ปีย้อนหลัง เขาจึงไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำมาคืออะไร สิ่งที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ทำร้ายประเทศมีอะไรบ้าง จึงเป็นเรื่องน่าเศร้า สิ่งที่เราพยายามสื่อถึงเขาว่านายทักษิณ ทำอะไรไว้บ้าง คนแทบไม่สนใจเลย เพราะคนในโซเชี่ยลสนใจเรื่องตัวเอง สนใจเรื่องของอนาคตในวันข้างหน้า ไม่มีเรื่องอื่นเลย จึงเป็นโจทย์ว่าวันนี้โลกเป็นแบบนี้ ถ้าเราขายของต้องรู้ว่าลูกค้าต้องการซื้ออะไร รวมถึงการทำงานในพื้นที่ที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ขอฝากพรรคหาคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถด้านไอทีเข้ามาช่วยงานพรรคในขณะที่กรอบความคิดแบบเดิมก็ให้ทิ้งไป สิ่งใดที่เราไม่ชอบ ไม่อยากทำเราก็ต้องทำเพื่อชัยชนะในอนาคต

ด้าน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค และรมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า วันนี้ตนมาให้กำลังใจ และทวงคืนศรัทธาพรรคประชาธิปัตย์คืนมา เพราะก่อนสู้กับใครเราต้องสร้างความเข้มแข็ง สร้างความเป็นหนึ่งเดียวของเราก่อน เพราะเป็นสิ่งที่คู่แข่งคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์แข็งแกร่งที่สุด ถ้าเราไม่สามารถสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันได้ก็จะสะเปะสะปะไปไม่ถึงจุดหมาย  ไม่ว่าเรามีความคิดดี มีหัวสมองที่ดี แต่ถ้าไม่มีพลังก็เดินไปไม่ถึงจุดหมาย วันนี้เราต้องไม่ลืมองค์กรของเราที่ต้องเดินไปข้างหน้า ส่วนตัวมั่นใจ เราสามารถเรียกศรัทธาประชาธิปัตย์คืนมาไม่อยู่เหนือความสามารถของเรา พรรคมีอุดมการณ์เป็นสถาบันการเมือง ต้องไม่ให้คำว่าสถาบันการเมืองเป็นแค่ตัวหนังสืออยู่ที่สมาชิก และส.ส.ต้องช่วยกัน เดินไปในทิศทางเดียวกัน หลายเรื่องเป็นบทเรียนให้เราได้รู้ วันนี้ตนให้กำลังใจทุกคนพร้อมขับเคลื่อนไปกับทุกภาคส่วน และอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำให้เข้มแข็ง คือ สาขาพรรค เพราะคือสัญลักษณ์การมีส่วนร่วมของประชาชนและพรรคประชาธิปัตย์ จุดแข็งของเราคือความเป็นตัวแทนของประชาชนผ่านสาขาพรรค วันนี้ผู้บริหารทุกคน รัฐมนตรีของพรรคต้องกลับมามองตรงนี้ คือจุดที่จะพาประชาธิปัตย์ไปพบประชาชน เพราะนี่คือรากฐานประชาธิปัตย์ทุกคนต้องกลับมาดูแลพรรค ทำให้เกิดความเข้มแข็งและเรียกศรัทธาประชาชนกลับคืนมาให้เร็วที่สุด


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"