ส.ค.ส. 2563


เพิ่มเพื่อน    

                                                        (1)

                เคยตั้งใจเอาไว้ไม่รู้จะกี่ปีต่อกี่ปีมาแล้ว...ว่าในช่วงจังหวะ อย่างประมาณอาทิตย์นี้ หรือช่วงใกล้ๆ ต้อง ส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ จะลองหาทางเสกสรร ปั้นแต่ง นิรมิต บทกวี หรือบทกลอนอันสวยสด หยดย้อย วิจิตร บรรจง ชนิดอ่านแล้วถึงขั้นเกิดอารมณ์ความรู้สึกประเภท เมื่อไข่มุกข์ร่วงหล่นบนจานหยก-วณิพกพ่ายสิ้นเพียงยินเสียง อะไรประมาณนั้น มาเป็นของขวัญ ของกำนัล เป็น ส.ค.ส.ปีใหม่ ให้กับบรรดาท่านผู้อ่านทั้งหลายให้จงได้...

                                                        (2)

                แต่ก็นั่นแหละ...ปีแล้ว-ปีเล่า และยิ่งหลายๆ ปีผ่านไป อาการมือแข็ง-ตีนแข็ง หรือมืออ่อน-ตีนอ่อน มันมักส่งผลให้โอกาสที่รจนาบทกลอน บทกวี ให้ทะลักหลั่งควั่งพรูออกมาแบบลื่นๆ ไหลๆ เหมือนอย่างตอนเป็นหนุ่มๆ หรือตอนที่ยังไม่แก่ ไม่ชรา ถึงขนาด มันแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย หรือแทบไม่สามารถตอบสนองความตั้งอก ตั้งใจ ได้เลยแม้แต่น้อย คือแค่นั่งนึก นั่งคิด ได้ซักท่อน สองท่อน วรรค สองวรรค หลังจากนั้นก็ไปไม่ออก ไปไม่เป็น หรือไปต่อแทบไม่ได้ บรรดาถ้อยคำงามๆ แบบ โมกโข กัลยณิยา สาธุ ทั้งหลาย มันชักจะหายๆ ไปจากหัวสมอง เซลล์สมอง ไม่อาจ เปล่งวาจางาม เพื่อยังประโยชน์ให้สำเร็จได้เลย...

                                                      (3)

                อาจเพราะวันๆ...มันออกจะคุ้นชินอยู่กับความหยาบ ความถ่อย ซะจนเคย ไม่ว่าจะเป็นความหยาบที่อุบัติขึ้นมาในแวดวงการเมือง เศรษฐกิจ ทั้งในประเทศ ต่างประเทศ ยิ่งโดยเฉพาะความหยาบที่ไหลทะลักมากับบรรดาเทคโนโลยีทั้งหลาย ซึ่งกองระเกะระกะอยู่ใน โลกโซเชียล มีเดีย ชนิดเป็นภูเขาเลากา ยิ่งกว่าเขาพระสุเมรุ เอาเลยก็ว่าได้ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้...มันเลยทำให้โอกาสที่จะหวนกลับไปปลุกเอาวิญญาณนักกลอน นักกวี ที่เคยเหลือติดปลายนวมไว้เล็กๆ น้อยๆ เมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ มันเลยแทบ เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย ด้วยประการฉะนี้...

                                                      (4)

                ต่างไปจาก น้าเนาว์ของเราเอง หรืออภิมหารัตนกวีศรีรัตนโกสินทร์ อย่างคุณน้า เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ รายนั้น...ท่านคลุกคลี ตีโมง อยู่กับบทกลอน บทกวี ชนิดไม่ว่าจะอยู่แบงก์ อยู่เฉยๆ หรืออยู่ในรัฐสภงรัฐสภา เป็นวุฒิสมาช้งสมาชิก อะไรก็แล้วแต่ ฯลฯ ท่านก็ไม่เคยคิดจะทิ้งห่าง ไม่เคยรามือไปจากการประดิษฐ์ คิดค้น ถ้อยคำงามๆ ออกมาเป็นบทกลอน บทกวี ชนิดยิ่งแก่ ยิ่งเก่ง ยิ่งเขียน ยิ่งดี ยิ่งไพเราะ เพราะพริ้ง ยิ่งหยดย้อย และวิจิตร บรรจง ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า...ไม่ถึงกับต้องไปเสกสรร ปั้นแต่ง ไปสรรหาถ้อยคำให้รกเรื้อรุงรังอะไรมากมาย อาศัยแค่คำพูดแบบเรียบๆ ง่ายๆ แค่ไม่กี่ประโยค ไม่กี่พยางค์ ก็เล่นเอาต้องทึ่ง ต้องตกตะลึง กันไปเป็นแถบๆ หรือต้อง วณิพกพ่ายสิ้นเพียงยินเสียง อะไรทำนองนั้น...

                                                     (5)

                อย่างบทกลอน บทกวี ที่ท่านเขียนถึง ท่านพุทธทาสภิกขุ ซึ่งท่านเคยเป็นลูกศิษย์ ลูกหา หรือไม่ อย่างไร? ก็ไม่ถึงกับชัดเจน แต่ด้วยการเรียบเรียงถ้อยคำ เพียงแค่ 4 วรรค 4 ประโยคเท่านั้น คือบอกเอาไว้ว่า...พุทธทาสนามท่านปานขุนเขา-ทว่าเบาสบายอย่างว่างน้ำหนัก-ทั้งตัวตนของท่านนั้นใหญ่นัก-ใหญ่ด้วยหลักลาสละละตัวตน อันนี้...ต้องเรียกว่า บรรดาวณิพกถึงขั้นหงายหลังตกเก้าอี้กันไปเป็นแถบๆ คืออะไรมันช่างจะเรียบง่ายและลึกซึ้งไปได้ถึงปานนั้น ไม่ต้องไปเอาคำศัพท์ ราชาศัพท์ คำบาลี สันสกฤต คำหะรูหะรา อะไรต่อมิอะไรมาแต่งแต้มเอาไว้เลย เพราะด้วยคำพูดง่ายๆ แต่แสดงออกถึงความ เข้าถึง และ เข้าใจ ต่อแนวคิดของอภิมหาพระ และอภิมหาปราชญ์ผู้นี้ มันจึงกลายเป็นความเรียบง่าย แต่แฝงเร้น และลึกซึ้ง ไปโดยปริยาย...

                                                        (6)

                สรุปรวมความแล้ว...การเปล่งวาจางาม เพื่อยังประโยชน์ให้เกิดความสำเร็จ หรือ โมกโข กัลยณิโย สาธุ นั้น อาจไม่ถึงกับต้องไปสลักเสลา วิจิตร บรรจง ไปเสกสรร ปั้นแต่ง ไปนิรมิต อะไรต่อมิอะไรให้มากมาย เพราะความงาม-ไม่งามนั้น มันอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “รูปแบบ” ล้วนๆ แต่น่าจะเกี่ยวพันกับสิ่งที่เรียกว่า เนื้อหา นั่นแหละเป็นหลัก และเนื้อหาที่ว่า ก็คงขึ้นอยู่กับความ เข้าถึง-เข้าใจ นั่นแหละเป็นสำคัญ แม้จะเป็นคำพูด ถ้อยคำ แบบเรียบๆ-ง่ายๆ แต่ถ้ามันแสดงออกถึงความบริสุทธิ์ใจ ความปรารถนาดี ต่อใครก็ตาม ไม่ว่ามิตร หรือศัตรู ไม่ว่าฝ่ายเรา หรือฝ่ายตรงกันข้าม ที่ล้วนแต่เป็นเพื่อนร่วมโลก เป็นเพื่อนมนุษย์ ไปด้วยกันทั้งนั้น อันนั้นนั่นเอง...ย่อมต้องสามารถ โมกโข กัลยณิโย สาธุ ได้เสมอๆ...

                                                      (7)

                ด้วยเหตุนี้...เอาเป็นว่า แม้จะหมดขีดความสามารถ หมดศักยภาพในการรจนาบทกลอน หรือบทกวีใดๆ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ ให้กับท่านผู้อ่าน ได้อย่างที่หวัง ตั้งใจ เอาไว้นาน แต่ก็โดยอาศัยความปรารถนาดี และความบริสุทธิ์ใจ ที่ยังพอมีเหลือๆ ต่อบรรดาเพื่อนผู้ร่วมวัฏสงสารทั้งหลาย ก็ขออนุญาตนำเอาถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ คือคำว่า ขอธรรมะคุ้มครองและรักษาผู้ประพฤติธรรม หรือจะให้ฟังดูหรูหราไปกว่านี้ ก็อาจแปลงเป็นภาษาบาลี ด้วยคำว่า ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง มาเป็นของกำนัล ให้กับท่านทั้งหลาย ในช่วงปีพุทธศักราช 2563 ไว้ ณ ที่นี้ ก็แล้วกัน...

                            ------------------------------------------------------------------- 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"