เหตุเกิดที่ด่านเหอโข่ว


เพิ่มเพื่อน    

 

        เส้นทางซาปา-หล่าวกาย เป็นทางคดเคี้ยวลงเขา ระยะทางแค่ 20 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงเต็ม ค่ารถตู้ 50,000 ดอง มากกว่ามินิบัสประจำทางที่เก็บ 30,000 ดอง อาจด้วยเหตุว่าเวลาที่ผมเรียกใช้บริการอยู่ในช่วง 11.00-13.00 น. มินิบัสพักเที่ยงหยุดวิ่ง รถตู้จึงถือโอกาสเพิ่มค่าโดยสาร


อาคารร้านค้าใกล้ๆ สถานีรถไฟหล่าวกาย

                 รถตู้ลงถึงพื้นราบเข้าสู่ตัวเมืองหล่าวกายอันเป็นเมืองหลวงของจังหวัดหล่าวกายชื่อเดียวกัน ข้ามแม่น้ำแดงสู่ลานจอดรถหน้าสถานีรถไฟหล่าวกาย จอดที่นี่เป็นป้ายสุดท้าย มินิบัสก็มีปลายทางที่สถานีรถไฟเช่นกัน ชายแดนเวียดนาม-จีนอยู่ห่างออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร คืนนี้ผมต้องนอนค้างในหล่าวกาย พรุ่งนี้จะข้ามแดนไปประเทศจีน และนั่งรถไฟจากเหอโข่ว เขตปกครองตนเองชนเผ่าเย้าไปยังคุนหมิง

                รายรอบสถานีรถไฟมีที่พักหลายแห่ง ชายหญิง 3-4 คนเดินมาเสนอห้องพักคืนละ 150,000 ดอง หรือประมาณ 200 บาทเท่านั้น แต่ผมได้จองเกสต์เฮาส์ไว้แล้วชื่อ Ling Giang ราคาคืนละ 180,000 ดอง ห่างจากคิวรถตู้หน้าสถานีรถไฟแค่ประมาณ 100 เมตร เดินเข้าไปไม่เห็นใคร กระทั่งไปยืนใกล้เคาน์เตอร์ ลุงเจ้าของที่พักกำลังนอนกลางวันอยู่บนแคร่ด้านหลัง ผมเรียก “ซินจาว” 3 ครั้ง ไม่ตื่น ตัดสินใจวางเป้หลังไว้บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง นำเป้ใบเล็กใส่ของมีค่าเดินไปหามื้อเที่ยงด้านข้างสถานีรถไฟ เลือกได้ร้านหนึ่ง เจ้าของร้านเป็นผู้หญิงวัยกลางคนเข้ามานั่งตรงข้าม เสนอห้องพักชั้นบนของร้านอาหาร ราคาคืนละ 150,000 ดอง ทั้งที่ผมบอกว่ามีที่พักแล้วเธอก็ยังชักชวน พอรู้ว่าผมจะเดินทางไปเมืองจีนก็ขอแลกเงินดองที่เหลือกับเงินหยวน ผมบอกว่าอีกประมาณ 2 สัปดาห์ก็จะกลับเข้าเวียดนามอีกครั้ง ยังมีความจำเป็นต้องใช้เงินดอง


​​​​​​​แม่น้ำแดงมองจากสะพานที่ข้ามไปยังตัวเมืองหล่าวกาย

                ผมสั่งข้าวผัดแล้วเดินไปเปิดตู้แช่ เห็นเบียร์ Lao Cai เบียร์ท้องถิ่นแอลกอฮอล์แค่ 3.5 เปอร์เซ็นต์ จึงหยิบออกมาเปิดดื่มกันข้าวผัดติดคอ เบียร์เบาๆ ดื่มกลางวันคิดว่าไม่เป็นไร ข้าวผัด 50,000 ดอง ส่วนเบียร์ 20,000 ดอง

                เมื่อกลับสู่เกสต์เฮาส์ ลุงเจ้าของก็ยังนอนอยู่ที่เดิม คราวนี้ผมต้องเรียก “ซินจาว” ดังๆ แกตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย ต่อมาฝ่ายเมียเดินลงมาชั้นล่าง ทั้งคู่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่เราก็พอจะสื่อสารกันเข้าใจ ผมยื่นเงินไปแลกกุญแจห้อง มีหมาชิวาวาสีดำน่ารักเดินมาดมๆ เลียๆ ต่อมามันก็ทำอย่างนี้ทุกครั้งที่เจอกัน

                หลังจากใช้สัญญาณ Wi-fi จากเกสต์เฮาส์เช็กสถานที่เดินเล่นในละแวกใกล้เคียง พบทะเลสาบชื่อ “ยัคซอน” น่าสนใจ ห่างจากที่พักประมาณ 2.5 กิโลเมตร ตอนบ่ายแก่ๆ ผมจึงเดินข้ามแม่น้ำแดง กลับไปยังเขตตัวเมืองหล่าวกาย เมืองเล็กๆ ที่ดูแล้วไม่มีอะไรเป็นจุดเด่นมากนัก แต่ก็เดินเพลิน ใกล้ๆ ทะเลสาบมีสวนสนุก และมียิมออกกำลังกาย ลักษณะกึ่งๆ ค่ายมวย รูป “บัวขาว บัญชาเมฆ” ติดหราอยู่ภายใน คนในยิมหันมามอง ผมชี้ไปที่รูปบัวขาวแล้วยกหัวแม่มือให้ พวกเขาก็คงเข้าใจว่าผมเป็นคนไทย

                สำหรับทะเลสาบยัคซอนนี้มีสวนสาธารณะล้อมรอบ เรียกว่าอุทยานยัคซอน (Ngac Son Park) มีพื้นที่รวมเกือบ 100 ไร่ ส่วนทะเลสาบมีขนาด 35 ไร่ มีเกาะอยู่ตรงกลาง สะพานโค้งเชื่อมข้ามไปยังเกาะ บนเกาะมีอาคารขนาดใหญ่ชื่อ Oc Dao มีร้านอาหารและคาเฟ่อยู่ในนี้ และอาคาร 5 ชั้นรูปเรือขนาดใหญ่กว่า สร้างยื่นออกไปในน้ำชื่อ Viet Plaza เป็นร้านอาหารและห้องจัดเลี้ยง นอกเกาะก็ยังมีอีกร้าน ชื่อ Asean ขนาดใหญ่โตเช่นกัน ชาวหล่าวกายวิ่งออกกำลังกายอยู่รอบๆ ทะเลสาบ ในทะเลสาบมีเรือเป็ดให้บริการ ผมเดินข้ามสะพานไปบนเกาะ จากเกาะข้ามสะพานอีกด้านออกไปยังประตูทางเข้า ส่วนทางที่ผมเข้านั้นเป็นประตูด้านข้างและลานจอดรถ


​​​​​​​สะพานข้ามไปยังเกาะกลางทะเลสาบยัคซอน ด้านหลังคืออาคาร Viet Plaza

                ฟ้าใกล้มืดเต็มทีผมเดินกลับโดยเปลี่ยนเส้นทางในช่วงแรก เมื่อถึงวงเวียนใหญ่ที่มีถนนถึง 6 สายมาบรรจบกันก็เข้าสู่เส้นทางเดิม ดิ่งตรงไปยังสะพานข้ามแม่น้ำแดง เดินเลยที่พักเพื่อไปดูลาดเลามื้อเย็น กลับเกสต์เฮาส์ไปอาบน้ำแล้วก็เดินไปกินร้านที่ได้ให้สัญญาแม่ค้าไว้ ข้าวจานใหญ่ ราดกับข้าว 3-4 อย่าง และซุปผักหวาน ราคาแค่ 30,000 ดอง เท่ากับ 40 บาท จากนั้นเดินเข้าไปสำรวจในสถานีรถไฟ ได้ยินเสียงคนไทยคุยกัน ที่มุมหนึ่งเด็กผู้หญิงฝรั่งตัวจิ๋วยืนเลิกชายเสื้อดึงขึ้นไปถึงคอ เกาพุง เกาเป้า ฝ่ายพ่อแม่ไม่ว่าอะไร ผู้โดยสารในนี้ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่รอรถไฟกลับกรุงฮานอย 

                คืนนี้ในห้องพักผมใช้เวลาเขียนคอลัมน์จนถึงเวลาประมาณเที่ยงคืนก็เข้านอน เช้าวันต่อมา นาฬิกาปลุกให้ตื่นตอน 07.34 น. อาบน้ำแล้วออกไปหามื้อเช้า ข้างๆ ที่พักมีอาหารไม่คุ้นหน้าตา แต่ก็น่าลอง ผมชี้ไปที่รูป ทราบทีหลังว่าอาหารจานนี้ชื่อ “โซยแสว” โซยก็คือข้าวเหนียว แม่ค้าตักข้าวเหนียวนึ่งสีเหลืองใส่ชาม โปะด้วยไข่คล้ายไข่ลูกเขย 1 ฟอง หมูยอชิ้นหนาตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยม ถั่วเขียวบด และหอมเจียว ออกจะจืดๆ แต่กินง่ายและหมดอย่างรวดเร็ว ราคา 20,000 ดองเท่านั้น

                จากนั้นเดินไปร้านกาแฟตรงข้ามสถานีรถไฟชื่อร้าน Terminus ความจริงเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ และบาร์ในร้านเดียวกัน ตกแต่งได้ดูดีมีรสนิยม ร้านค่อนข้างใหญ่ มี 2 ชั้น ตอนเย็นมีคนมาดินเนอร์แน่นร้าน แต่เช้านี้ยังไม่มีลูกค้า ผมสั่งเอสเปรซโซ่ ผู้หญิงหลังเคาน์เตอร์ถามว่า “ซิงเกิลหรือดับเบิล?” ผมตอบเธอว่า “ไอ แอม ซิงเกิล” เธออมยิ้ม และทำแบบช็อตเดียวมาให้ เป็นกาแฟโรบัสต้าที่หอมคล้ายลูกเบอร์รี่สด รสชาติออกเปรี้ยวนิดๆ นึกเสียดายที่ไม่สั่งดับเบิลช็อต ดื่มเสร็จก็เดินไปจ่ายเงิน 30,000 ดอง หรือแค่ 40 บาท

                ผมกลับไปเก็บกระเป๋าอย่างนอนใจ เพราะเห็นว่ามีเวลาเหลือเฟือ รถไฟออกจากสถานีเหอโขว่เหนือ (Hekou Bei) เวลา 13.08 น. จองตั๋วทางอินเทอร์เน็ตไว้แล้ว แต่ต้องไปรับตั๋วก่อนเวลารถออก ออนไลน์เอเยนซีแนะนำให้ไปก่อน 2 ชั่วโมง หมายความว่าผมควรไปถึงสถานีรถไฟเวลาประมาณ 11 โมง คะเนแล้วออกจากที่พัก 9 โมงครึ่งน่าจะทันถมเถ


​​​​​​​โซยแสว มื้อเช้าของผู้เขียนที่เมืองหล่าวกาย

                คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างหรือที่เรียก “เซโอม” บริเวณหน้าสถานีรถไฟเห็นผมเดินออกจากที่พักก็เรียกมาแต่ไกล ผมพยักหน้า เขาก็สตาร์ทเครื่องขับมาหา ผมบอกว่าไป “ไชน่า บอร์เดอร์” แล้วถามราคา เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ยกนิ้วขึ้น 3 นิ้ว ผมก็เข้าใจ 30,000 ดอง ตอบ “โอเค” ยกเป้หลังให้เขาวางตรงคอมอเตอร์ไซค์

                วิ่งไปได้เกือบ 2 กิโลเมตร เขาหันมาเหมือนจะถามว่าไปไหน เลี้ยวซ้ายหรือตรงไป หากเลี้ยวซ้ายหมายถึงต้องข้ามสะพานไปอีกฝั่ง แม้ไม่มีซิมการ์ดเวียดนามในมือถือ แต่แผนที่กูเกิลพอใช้การได้ ผมบอกให้เขาตรงไป เขาขับเลย Lao Cai International Border Gate เลี้ยวขวาไปอีกทาง แล้วหยุดหันมาถามว่าไปไหน ผมก็บอกไชน่า เขาคล้ายจะไม่เข้าใจ ผมชี้กลับไปที่อาคารตรวจคนเข้าเมือง เขาเพิ่งจะเข้าใจ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องคาดเดายากอะไร นักท่องเที่ยวมีเป้ 2 ใบ อยู่ใกล้ด่านชายแดน จะไม่ข้ามแดนแล้วจะให้ไปไหน

                ผมน่าจะศึกษาคำเรียกประเทศจีนในภาษาเวียดนามมาก่อน เพราะเขาไม่ได้เรียกจีนว่าไชน่า แต่เรียกว่า “จุงก๊วก” ก็คนไทยเองยังเรียก “จีน” เลย ขณะที่คนจีนเรียกประเทศตัวเองว่า “จงกั๋ว” จะว่าไปจุงก๊วกใกล้เคียงกว่าจีนด้วยซ้ำ


​​​​​​​สถานีรถไฟหล่าวกายมองออกไปจากร้านกาแฟ

                มีคนถือเงินเป็นฟ่อนเดินเข้ามาหาเพื่อเสนอแลกเงินดองเป็นเงินหยวน ผมบอกว่าไม่นานจะกลับเข้าเวียดนามอีกครั้ง เขาก็พูดว่ากลับมาใหม่ก็ค่อยแลกใหม่สิ เอาเงินจีนไปใช้ก่อน จะแบกเงินเวียดนามไปทำไม ผมเดินหนีเข้าไปในตัวอาคาร ด้วยความรีบร้อนดันไปเข้าประตู Entry ทางซ้ายมือ แล้วจึงเดินกลับออกมาเข้าประตู Exit ด้านขวามือ

                คนเข้าแถวยาวจนล้นออกมาถึงประตูอาคาร สักพักมีการเปิดช่องใหม่ผมก็เดินตามคนกลุ่มหนึ่งเข้าแถวในช่องใหม่ แล้วเกิดอาการไม่มั่นใจ ยื่นพาสปอร์ตให้คนข้างหน้าดู เขาชี้กลับไปที่ช่องเดิม เวลานี้มีคนเยอะกว่าเดิม ผมต้องถอยหลังไปอีกนับสิบคิว ถึงตอนนี้เวลาใกล้ 10 โมง แต่แถวเคลื่อนไปได้เรื่อยๆ ไม่นานก็ได้ประทับตราออกจากเวียดนาม เดินไปบนสะพานข้าม “น้ำที” สาขาของแม่น้ำแดงสู่ดินแดนจีน

                หน้าอาคารตรวจคนเข้าเมืองเหอโข่วของจีนมีคนเข้าคิวล้นออกมาด้านนอกหลายเมตร ผมเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่คนหนึ่งบริเวณนั้น ยื่นพาสปอร์ตให้ดู เขาชี้และสบัดนิ้ว สื่อว่าให้เดินเข้าไปด้านในได้เลย พวกที่เข้าคิวอยู่คงเป็นชาวเวียดนามทั้งหมดหันมามองผมแปลกๆ เพราะพวกเขายังไม่มีใครได้เข้าไปสักคน


​​​​​​​ออกจากด่านตรวจเข้าเมืองหล่าวกายแล้วหันกลับไปมอง

                เจ้าหน้าที่ด้านในบอกให้เขียน Arrival Card เขียนเสร็จก็ต่อคิวช่อง Foreigners แถวคดเคี้ยวไปมาตามเชือกกั้น มี 2 แถวย่อย ไหลไปเรื่อยๆ ไม่เชื่องช้า มีความรู้สึกว่ายังไงก็ทันไปรับตั๋ว ด้านหน้าผมเป็นฝรั่งหนุ่มสวมรองเท้าแตะ กางเกงขาสั้น เครายาว เขาคงปั่นจักรยานท่องเที่ยว กำลังสนทนาอยู่กับเจ้าหน้าที่หลังเคาน์เตอร์ ได้ยินว่าจะไปเฉิงตู และเมืองอื่นๆ อีกหลายแห่ง คิดว่าเขาน่าจะได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศ แม้ว่าระหว่างนี้ผมเห็นสองสามคนถูกคุมตัวออกไปพบเจ้าหน้าที่อีกระดับที่ไหนสักแห่ง

                คิวของผมมาถึงด้วยความรู้สึกธรรมดาสามัญ คิดว่าคงไม่ยากเย็นอะไร วีซ่าจีนขอมาแล้วก่อนออกเดินทางจากกรุงเทพฯ หลายวันก่อน แต่พอเจ้าหน้าที่เห็นพาสปอร์ตก็หันไปพูดกันว่า “ไท่กั๋วๆๆๆ” ผมให้เขาดูใบจองตั๋วรถไฟที่แคปเจอร์หน้าจอมือถือไว้ เขาถามว่าจะไปไหนบ้าง ผมก็ตอบ “คุนหมิง ฉงชิ่ง กุ้ยหยาง กุ้ยหลิน หนานหนิง จากนั้นก็เข้าเวียดนาม” สุดท้ายเขาให้เจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งมาหยิบพาสปอร์ตผมไป และชี้ให้เดินตาม

                เจ้าหน้าที่หญิงเดินขึ้นชั้น 2 เข้าไปในห้องหนึ่ง มีเจ้าหน้าที่สามสี่คนและสตรีท้องแก่นั่งอยู่บนโซฟา เธอขยับให้ผมนั่ง ผมวางกระเป๋าแล้วนั่งลง ถามเจ้าหน้าที่สาวว่ามีปัญหาอะไร เธอบอกให้รอ ซึ่งก็รออยู่หลายนาที มีเจ้าหน้าที่คนอื่นแวะมาถามอาชีพบ้าง ถามว่าจะไปไหนบ้าง มาที่นี่ได้อย่างไร เคยมาจีนไหม เมื่อไหร่ ต้องตอบซ้ำแล้วซ้ำอีก


​​​​​​​เดินข้ามสะพานจากเวียดนามไปยังเมืองจีน

                ผมพยายามคิดว่าอะไรคือสาเหตุให้เกิดการกักตัวสอบสวนถึงขั้นนี้ อาจเกิดจากไม่มีคนไทยที่ใช้ด่านนี้ในการข้ามแดนมาก่อน หรือว่าใบหน้าผมละม้ายชาวอุยกูร์ เพราะหนวดเคราไม่ได้โกนหลายวัน ผมเคยมาจีนแค่ครั้งเดียวเมื่อ 13 ปีที่แล้ว คราวนั้นบินไปลงที่เมืองเชียงรุ้ง แคว้นสิบสองปันนา ไม่มีปัญหาอะไร

                ระหว่างที่เกิดอารมณ์สับสน หวั่นใจ และเริ่มขุ่นมัว ผมหันไปเห็นนาฬิกาติดผนัง เข็มสั้นและเข็มยาวอยู่ที่เลขเดียวกัน ตั้งฉากกับพื้นโลก 12.00 น. ผมลืมสนิทเลยว่าเวลาของจีนเร็วกว่าเวียดนาม 1 ชั่วโมง ถึงตอนนี้เวลาที่ผมคิดว่ามีอยู่ในมือ 2 ชั่วโมงก็หายไป 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่หญิงคนเดิมมาบอกให้ลุกเดินตามเธอไป เข้าห้องติดกัน สวนกับชายคนหนึ่งที่ถูกเจ้าหน้าที่ 2 คนหิ้ว (จับไหล่) เดินออกไป ผมเสียวไส้ขึ้นทันที ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว    

                ในห้องมีโต๊ะคอมพิวเตอร์อยู่ 4-5 ตัว เจ้าหน้าที่มี 2 คน ต่อมาเหลือคนเดียว และคนนี้พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ต้องใช้โปรแกรมแปลภาษาสื่อสารกัน เขาพูดใส่มือถือแล้วยื่นให้ผมฟัง แต่ส่วนมากผมจะอ่านภาษาอังกฤษจากหน้าจอ คำถามล้วนเหมือนเดิม ผมให้ดูเอกสารจองตั๋วในมือถือ อธิบายว่าอาจเดินทางไม่ทันถ้าพวกคุณยังขืนรั้งผมไว้ในนี้ เขาตอบกลับมาว่า “ใกล้แล้ว”

                เจ้าหน้าที่คนที่ลุกไปก่อนหน้านี้กลับมานั่ง เขาพอพูดอังกฤษได้ ถามชุดคำถามเดิมอีกรอบ คลิกโน่นคลิกนี่ในคอมพิวเตอร์ จากนั้นสแกนพาสปอร์ต เวลา 12.20 น. โดยประมาณเขาบอกให้คนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เดินนำผมลงไปชั้นล่าง เข้าช่องใหม่โดยแซงทุกคน เขายื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่หลังเคาน์เตอร์แล้วพูดว่า “ไท่กั๋ว” แล้วเดินจากไป


​​​​​​​ด่านตรวจคนเข้าเมืองเหอโข่ว มณฑลยูนนาน

                สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคงไม่เหนือความคาดเดา เจ้าหน้าที่คนนี้ก็ถามชุดคำถามเดิมอีกครั้ง ผมตอบซ้ำเกือบรอบที่สิบ หน้าเคาน์เตอร์มีข้อความเขียนว่า “Nice to meet you” และ “Please rate us” สามารถกดปุ่มให้คะแนนได้ ตั้งแต่ Poor service, Process taking too long, Good และ Great ผมเอื้อมมือไปจะกด “กระบวนการใช้เวลานานเกินไป” แต่ยั้งใจไว้ทัน หดมือกลับ กลัวสถานการณ์จะแย่กว่าเดิม

                สุดท้ายมีโปรแกรมเสียงภาษาไทยออกคำสั่งให้วางนิ้วมือกับเครื่องสแกน เจ้าหน้าที่ปั๊มตราให้เข้าประเทศ เขายื่นพาสปอร์ตให้โดยไม่มีรอยยิ้ม ผมก็ไม่ยิ้ม จากนั้นนำกระเป๋าเข้าเครื่องเอกซเรย์ ไม่ต้องถอดเข็มขัดหรือรองเท้า เดินออกนอกประตู ผมดูเวลาจากมือถือ 12.27 น. มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้ามากลุ้มรุม แต่ผมเดินมุ่งไปที่รถแท็กซี่ ถามโชเฟอร์ว่า “เทรนสเตชั่น ฮาวมัช?” เขาตอบมาเป็นภาษาจีนพร้อมชู 2 นิ้ว ผมนึกว่า 200 หยวน ล้วงปากกาให้เขาเขียนราคาลงในฝ่ามือ ปรากฏว่า “20 หยวน” ผมตอบตกลง

                เมื่อขึ้นรถได้เขาก็หยิบกระดาษทิชชู่ยื่นให้ผมเช็ดรอยน้ำหมึก ระยะทางประมาณ 5-6 กิโลเมตร รถวิ่งประมาณ 10 นาที ก็ถึงหน้าสถานีรถไฟเหอโขว่เหนือ จ่ายเงินให้โชเฟอร์ 100 หยวน เขาทอนใบละ 10 หยวนคืนมา 8 ใบ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมรีบลงจากรถแบกเป้ขึ้นหลัง โชเฟอร์พูดเสียงดังกับเพื่อนๆ แท็กซี่ว่า “ไท่กั๋วเหรินๆๆ” คงไม่ค่อยมีคนไทยผ่านมาทางนี้จริงๆ 

                ผมหาห้องตั๋วเจอก็รี่เข้าไป กำลังให้บริการอยู่ 2 ช่อง ผมเลือกเข้าคิวช่องซ้าย มีคนมาแซงหน้า 1 คน พอจะถึงคิวผมคนจากช่องขวาก็มาแซงอีกคน เจ้าหน้าที่หลังกระจกก็ไม่ว่าอะไรทั้งที่เห็นเหตุการณ์ เหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าท่านได้มาถึงประเทศจีนเรียบร้อยแล้ว ผมยื่นเอกสารในมือถือให้เจ้าหน้าที่ดู เธอออกตั๋วให้โดยไม่มีความซับซ้อนใดๆ ผมดูเวลา 12.43 น. เหลือ 25 นาทีก่อนรถไฟออก

                จึงได้ทราบว่าไม่ต้องมาก่อนถึง 2 ชั่วโมงตามที่ออนไลน์เอเยนซีระบุไว้สำหรับผู้ซื้อตั๋วครั้งแรก และไม่ต้องมาก่อนครึ่งชั่วโมงตามที่มีการเตือนกันในอินเทอร์เน็ต สรุปว่ามารับตั๋วและขึ้นรถไฟให้ทันเป็นอันพอ.  

แกลลอรี่


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"