โลกนี้คือละคร


เพิ่มเพื่อน    

                                                            (1)

        ได้ข่าว พี่เทพ หรือ สุเทพ วงศ์กำแหง ท่านได้ตัดสินใจลา-ละ-สละจากโลกนี้ไปแล้ว ต้องเรียกว่า...ออกจะใจหาย ใจแป้ว อยู่พอสมควร แม้ไม่ถึงกับสนิท-คุ้นเคย กับพี่เขา แค่เคยเจอกันผ่านๆ ไม่กี่ครั้ง เห็นใครต่อใครเรียก พี่เทพ เลยเรียกๆ ตามไปกะเค้าด้วย แต่ภายใต้ ระยะห่าง ดังกล่าว ก็ยังมีบางสิ่ง บางอย่าง ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกผูกพัน เชื่อมโยง จนอดที่จะอาลัย-อาวรณ์ขึ้นมามิได้...

                                                     (2)

        คือเฉพาะแค่ได้อ่าน จดหมาย หรือข้อเขียน ที่ พี่เทพ ท่านขยันส่งมาลงที่ ไทยโพสต์ คราวแล้ว คราวเล่า จนแทบไม่ต่างไปจาก คอลัมนิสต์ รายหนึ่งเอาเลยก็ว่าได้ ก็ต้องเรียกว่า...ก่อให้เกิดความผูกพัน เชื่อมโยง อยู่พอสมควร เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ พี่เทพ ท่าน ด่า หรือ พี่เทพ ท่าน เชียร์ อาจต้องถือเป็น มาตรฐานสากล อย่างมิอาจปฏิเสธได้ เนื่องจากโดยวัตรปฏิบัตินับตั้งแต่ท่านมีโอกาสเข้ามาคลุกคลีอยู่ในแวดวงการบ้าน การเมืองนั้น มีส่วนก่อให้เกิด มาตรฐาน ในการแยกแยะ ความดี-ความเลว ความผิด-ความถูก เอาไว้มิใช่น้อย...

                                                       (3)

        แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น...น่าจะเป็นเพราะบทเพลง เสียงเพลง ที่ใครต่อใครอุปมา-อุปมัย ว่าปานประดุจ ขยี้แพรบนฟองเบียร์ อะไรประมาณนั้น แม้ว่าเป็นน้ำเสียง สุ้มเสียง ที่อาจไม่ตรงกับ รสนิยม ของตัวเองไปซะทั้งหมด เนื่องจาก อันตัวข้าพเจ้าเอง ออกจะหนักไปทางพวก ลูกทุ่ง-ลูกกุ้ง ซะเป็นหลักใหญ่ ไม่ได้ออกไปทาง ลูกกรุง เหมือนอย่างใครต่อใครเขา แต่การที่ต้องได้ยิน ได้ฟัง เสียงเพลง บทเพลง ของ พี่เทพ มาตั้งแต่ตีนยังเท่าฝาหอย อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ อะไรต่อมิอะไรมันก็เลยซึมเข้ามาในอารมณ์ ความรู้สึก ในตัวตนของตน อย่างแทบไม่รู้ตัว...

                                                      (4)

        หรือพูดง่ายๆ ว่า...ด้วยบทเพลง เสียงเพลง ของ พี่เทพ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนใด ของชีวิต อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ กลายเป็นความผูกพัน เชื่อมโยง โดยที่ไม่จำเป็นต้องรู้จักหน้า รู้จักตา ไม่จำเป็นต้องมีโอกาสได้พบ ได้สัมผัส แบบตัวเป็นๆ เอาเลยก็ยังได้ แต่เมื่อมีโอกาสได้พบ ได้สัมผัส อยู่บ้าง ในบางครั้ง บางครา ยิ่งมีโอกาสได้รับรู้ถึงความสอดคล้อง กลมกลืน ระหว่างความเป็นตัวตนของตน ของ พี่เทพ กับบทเพลง เสียงเพลง ซึ่งถูกขับขานออกมา ว่าแทบไม่ได้มี ความแปลกแยก ระหว่างกันและกันเอาเลยแม้แต่น้อย คือเป็นอะไรที่มีจังหวะ จะโคน มีความลงตัว มีความไพเราะ เพราะพริ้ง และที่สำคัญเอามากๆ ก็คือมีส่วนก่อให้เกิด มาตรฐาน ในการแยกดี-แยกชั่ว แยกผิด-แยกถูก ออกจากกันและกันได้อย่างชัดเจน...

                                                      (5)

        โดยเฉพาะบทเพลงระดับ อมตะนิรันดรกาล ที่รู้จักกันในนามเพลง โลกนี้คือละคร นั่นแหละ...เมื่อไหร่ที่ พี่เทพ ท่านขยี้แพรในฟองเบียร์ ด้วยการเอื้อนเอ่ยออกมาว่า...โลกนี้นี่ดู-ยิ่งดูยอกย้อน-เปรียบเหมือนละคร-ถึงบทเมื่อตอนเร้าใจ...ก็ต้องเรียกว่า เล่นเอาวงข้าว วงเหล้า ไม่ว่าวงไหนต่อวงไหน ไปจนแม้กระทั่งแวดวง การเมือง เอาเลยก็ยังได้ หนีไม่พ้นต้องสูดลมหายใจ นั่งนึก นั่งคิด นั่งสมาธิ หรือต้อง ตั้งสติ กันไปตามสภาพ เพราะไม่ว่าฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหนจะแพ้ จะชนะ จะเป็นใหญ่ เป็นโต เสื่อมโทรม เสื่อมราคา ไปตามสภาพ ตามยุค ตามสมัย แต่ภายใต้ บทบาทลีลา-แตกต่างกันไป หรือ ถึงสูงเพียงใด แต่สุดท้าย...ต่างจบลงไปเหมือนกัน นั่นแล...

                                                      (6)

        ด้วยเหตุนี้...แม้ว่า พี่เทพ ท่านจะไม่มีโอกาสเขียน จดหมาย หรือ ข้อเขียน ใดๆ มา เตือนสติ ใครต่อใครในแต่ละแวดวงอีกต่อไปแล้ว แต่ความก้องกังวาน อันสุดแสนจะนุ่มๆ นิ่มๆ ปานประดุจขยี้แพรในฟองเบียร์ ที่ยังคงแว่วๆ อยู่ในหูของผู้คนยุคนี้ หรือยุคไหนๆ ก็แล้วแต่ ว่า โลกนี้-คือละคร-บทบาทบางตอน-ชีวิตยอกย้อน-ยับเยิน-ชีวิตบางคน-รุ่งเรืองจำเริญ-แสนเพลิน-เหมือนเดินอยู่บน-หนทางวิมาน แต่ในเมื่อสุดท้าย...ต่างหนีไม่พ้นต้องจากไปในรูปเดียวกัน นั่นคือ เกิดมาต้องตาย-ร่างกายผุพัง-ผู้คนเขาชัง-คิดยิ่งระวังไหวหวั่น-ต่างเกิดกันมา-ร่วมโลกเดียวกัน-ถือผิวชังพรรณ-บ้างเหยียดหยามกัน-เหลือเกิน ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เลยออกไปทาง “น่าเศร้า” ไปด้วยกันทั้งนั้น...

                                                       (7)

        เรียกว่า...ไม่ว่าใครชนะ-ใครแพ้ ใครใหญ่-ใครโต ใครเก่ง-ใครไม่เก่ง ใครเสื่อม-ใครดับ ฯลฯ สุดท้ายก็หนีไม่พ้นต้องเป็นไปในแบบ โลกนี้นี่ดู-ยิ่งดูเศร้าใจ-ชั่วชีวิตวัย-หมุนเปลี่ยนผันไปเหมือนม่าน-เปิดฉากเรืองรอง-ผุดผ่องตระการ-ครั้นแล้วไม่นาน-ปิดม่านเป็นความเศร้าใจ อย่างที่ พี่เทพ ท่านได้ฝาก จดหมาย หรือ ข้อเขียน ชิ้นสุดท้าย ไว้ให้เป็น มาตรฐาน นั่นเอง ดังนั้น...ในช่วงจังหวะที่ใครต่อใครกำลังหันมาไล่ฟัด-ไล่งับ-ไล่กัด ระหว่างกันและกันแบบสุดฤทธิ์ สุดหลอด ไม่ว่าฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหน ไม่ว่าเด็ก-ไม่ว่าผู้ใหญ่ คงต้องหาโอกาสไปฟังการขยี้แพรในฟองเบียร์ของ พี่เทพ ท่าน ติดปลายนวมเอาไว้มั่ง...


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"