'ญาติวีรชนพฤษภา35'จี้'ประยุทธ์'ลาออกก่อนนองเลือด


เพิ่มเพื่อน    

1 มี.ค.63-นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’35และอดีตกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง กล่าวถึงการชุมนุมแฟลซม็อบของนักศึกษาในขณะนี้ว่า นักศึกษาเป็นพลังบริสุทธิ์มาทุกยุคสมัยเป็นวัยที่กำลังเรียนรู้และสนใจเรื่องราวของบ้านเมือง ต้องการเห็นสังคมที่เป็นธรรมมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ในขณะที่สังคมไทยยังก้าวไม่พ้นความขัดแย้งและยังติดหล่มวิกฤติทางการเมือง มาปะทุหนักหลังศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ การแสดออกของนักศึกษาจึงเป็นเรื่องธรรมชาติของคนวัยหนุ่มสาวที่ต้องการเห็นอนาคตที่สดใส 

นายอดุลย์กล่าวว่า ขอแสดงความเห็นและเสนอแนะ 1.การชุมชุมของนักศึกษาเป็นผลจากการสะสมปัญหามาในช่วง10กว่าปี ที่สังคมไทยเผชิญสงครามเสื้อสี ทหารยึดอำนาจรัฐประหาร 2 ครั้ง สถาบันทางการเมืองไทยเสื่อมทรุด องค์กรอิสระไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกลไกตรวจสอบและตัดสินข้อขัดแย้งต่างๆให้เกิดข้อยุติได้ ตั้งแต่คำวินิจฉัยในคดีซุกหุ้นที่เรียกว่า”คำวินิจฉัยสีเทา”จนถึงการยุบพรรคอนาคตใหม่ กระบวนการยุติธรรมก็ไร้ความน่าเชื่อถือคนบริสุทธิ์ตกเป็นแพะ-คนทำผิดลอยนวล สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นตัวแทนประชาชนควรจะเป็นเวทีหาทางออกทางการเมือง แต่จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจแต่ละฝ่ายก็เล่นละครใช้เล่ห์เหลี่ยมเอาชนะคะคานกันจนเป็นที่น่าผิดหวังอย่างยิ่ง ฝ่ายบริหารก็ใช้พวกมากลากไปมติพรรคอยู่เหนืออุดมการณ์พรรค เศรษฐกิจก็ถดถอย ความเหลื่อมล้ำมากขึ้น การปฏิรูปประเทศไร้ทิศทาง ประชาชนจึงเริ่มสิ้นหวัง 

2.นักศึกษาเป็นพลังบริสุทธิ์การจัดกิจกรรมทางการเมืองมีเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ของส่วนร่วมอยากเห็นประเทศชาติพัฒนาก้าวหน้าทันนานาประเทศที่เจริญแล้ว แต่นักศึกษาก็ยังขาดประสบการณ์ ไม่รู้เท่าทันเกมทางการเมือง จึงต้องกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวให้ชัดเจน แสดงออกด้วยความเหมาะสม และต้องไม่พาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเด็ดขาด  ขณะที่นักการเมืองทุกพรรคต้องไม่เข้าไปชี้นำแทรกแซงกิจกรรมของนักศึกษาไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม

3.การชุมนุมภายในรั้วมหาวิทยาลัยสามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย เนื่องจากพ.ร.บ.การชุมชุมสาธารณะ พ.ศ.2558 มาตรา 3 (4) ยกเว้นให้ชุมนุมในสถานศึกษาได้ ดังนั้นรัฐบาลต้องไม่ปิดกั้นการแสดงออกและจะจำกัดสิทธิเสรีภาพไม่ได้ นอกจากนี้รัฐบาลต้องป้องกันไม่ให้กลุ่มประชาชนที่มีจุดยืนทางการเมืองแตกกต่างกันมาเผชิญหน้ากัน ซึ่งจะทำให้เกิดการยั่วยุนำไปสู่ความรุนแรงได้ 

4.สังคมไทยมีการใช้โชเชียลมีเดียตอบโต้กันอย่างรุนแรง รัฐและฝ่ายต่อต้านรัฐก็ใช้ปฏิบัติการข่าวสาร ( Information Operation )หรือ”ไอโอ”ผ่านสื่อออนไลน์ มีการสร้างข่าวปลอม(fake news)บิดเบือนกล่าวหาใส่ร้ายกันสร้างความเข้าใจผิดทำให้เกิดความเกลียดชังกัน ที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่งคือการพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงน่าเป็นห่วงว่าจะนำความแตกแยกของสังคมไทยอย่างรุนแรง ดังนั้นรัฐต้องหาทางสะกัดไอโอของทั้งสองฝ่าย และให้องค์กรที่เป็นกลางจัดกระบวนการแลกเปลี่ยนความคิดและข้อร้องเรียนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อหาทางออกอย่างละมุมละม่อม

5.จากวิกฤติการเมืองที่สะสม รัฐบาลไม่ได้สร้างความปรองดอง ไม่ปฏิรูปประเทศ และยังสืบทอดอำนาจ การเมืองไทยยังวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ จึงมาถึงทางตันแล้ว หากยังดันทุรังต่อไปการชุมนุมก็จะพัฒนาแรงขึ้น อาจนำไปสู่การนองเลือดได้  จึงเสนอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสียสละเพื่อประเทศชาติด้วยการ ลาออกจากนายกรัฐมนตรี แล้วจัดตั้ง”รัฐบาลช่วยชาติ”นำผู้มีความรู้ความสามารถจากทุกพรรคการเมืองและทุกภาคส่วนโดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจร่วมกันตั้งรัฐบาลชุดใหม่ตามกลไกรัฐธรรมนูญ แล้วดำเนินการนิรโทษกรรมคดีที่มีแรงจูงใจทางการเมือง ตามรายงานการศึกษาและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ ที่ได้เสนอรัฐบาลไปแล้ว และต้องปฏิรูปประเทศทุกด้าน แล้วร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"