วิธีป้องกัน “โรคหูแหก-ตาแหก”


เพิ่มเพื่อน    

                                                          (1)

                อินเทอร์เน็ต นั้นอาจมีส่วน...คือช่วงระยะประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมา การเติบโต ขยายตัว มันน่าจะเพิ่มขึ้นไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า การแพร่ข่าว ขยายข่าว ไม่ว่าข่าวจริง ข่าวปลอม รวมไปถึงการแสดงออกถึงอารมณ์-ความรู้สึกยังไงก็ย่อมได้ มันเลยทำให้ความน่าเกลียด น่ากลัว น่าสยองขวัญ สั่นประสาท ของเชื้อไวรัส Covid-19 ในช่วงนี้ หรือช่วงปี ค.ศ.2020 ออกจะหนักหน่วง รุนแรง กว่าครั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส H1N1 หรือโรคระบาด ไข้หวัดหมู เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว หรือเมื่อช่วงปี ค.ศ.2009 นับเป็นสิบๆ เท่าเอาเลยก็ว่าได้...

                                                       (2)

                ทั้งๆ ที่ช่วง 10 กว่าปีที่แล้ว...ตัวเลขจำนวนคนตาย คนติดเชื้อ ไม่ว่าในอเมริกาอันเป็นแหล่งแพร่ระบาด หรือในระดับทั่วทั้งโลก มีมากกว่าจำนวนผู้ตาย ผู้ติดเชื้อ ในเมืองจีน และในระดับทั่วทั้งโลก ไม่รู้กี่สิบต่อกี่สิบเท่า เท่าที่พอจำได้ น่าจะตายเกือบๆ 2 หมื่นราย ติดเชื้อกันเป็นแสนๆ หรืออาจถึงหลักล้าน หรือสิบๆ ล้านไปโน่นเลย แต่อาจด้วยเหตุเพราะกิจกรรมทางอินเทอร์เน็ต เมื่อยุค 10 กว่าปีที่แล้ว มันยังไม่ถึงกับร้อนแรง หนักหน่วง รุนแรง เท่ากับช่วงระยะนี้ ความ หูแหก-ตาแหก มันเลยถึงกับ แต๋วแตกแหวกชิมิ มากมายเกินไปนัก...

                                                      (3)

                แต่นอกเหนือไปจากนั้น...อีกสิ่งหนึ่งที่น่าจะมีส่วนทำให้ความ หูแหก-ตาแหก เพิ่มขึ้นๆ อย่างชนิดควบคุมอะไรแทบไม่ได้ ก็น่าจะเป็น ความกลัวตาย ของผู้คนยุคหลังๆ นั่นแหละ ที่ออกจะหนักหน่วง รุนแรง เอาจริง-เอาจัง กับความเป็น ตัวกู-ของกู ซะเหลือเกิน ความรักและห่วงใยในสุขภาพในตัวตน-ของตน ที่ต่างก็ไม่อยากเจ็บ อยากป่วย อยากตาย จนทำให้แทบอยากมีชีวิตเป็น อมตะ เอาเลยถึงขั้นนั้น อันนี้นี่แหละ...ที่น่าจะมีส่วนส่งผลให้อาการ หูแหก-ตาแหก มันเลยหนักหนา สาหัส ยิ่งไปกว่าเดิม หรือหนักระดับควบคุมแทบไม่ได้...

                                                       (4)

                ทั้งๆ ที่การเจ็บ การป่วย การตายนั้น...มันคือ กระบวนการทางธรรมชาติ ชนิดหนึ่ง ที่นอกจากจะฝืนไม่ได้ ก็ยังไม่มีเหตุผลใดๆ ที่สมควรจะไปฝืน เพราะมันคือการเปลี่ยนถ่าย ผ่องถ่าย เพื่อที่จะให้กระบวนการทางธรรมชาติมีโอกาส ดำรง คงอยู่ ต่อไปได้นั่นเอง คิดง่ายๆ ว่าถ้าหากผู้คนโดยส่วนใหญ่ เกิดไม่ตาย หรือแค่ตายช้าไปกว่ากำหนดการ จำนวนผู้คน พลเมือง หรือจำนวนประชากรโลก ที่ปาเข้าไปประมาณ 6,000-7,000 ล้าน ใกล้ๆ แตะ 10,000 ล้าน ในช่วงเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ มันออกจะเป็นอะไรที่ ล้นโลก ไปแล้วพอสมควร และยิ่งประชากรแต่ละประชากร ล้วนเห็นดี เห็นงาม ต่อการหันมาเดินในเส้นทาง ทุนนิยม ไปด้วยกันแทบทั้งหมด พร้อมที่จะเป็น ผู้บริโภค หรือพร้อมถูก กระตุ้น ให้บริโภคให้มากๆ เข้าไว้ เพื่อให้ จีดีพี ของแต่ละประเทศไม่มีโอกาสหัวตก แล้วบรรดา สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ทั้งหลาย...จะไปเหลืออะไร???

                                                      (5)

                ด้วยเหตุนี้...กระบวนการทางธรรมชาติที่จะนำไปสู่ จุดสมดุล หรือจุดที่ทำให้ธรรมชาติสามารถดำเนินต่อไปได้ จึงเป็นสิ่งที่ต้องตามมา อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ ความหายนะของสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศ การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ ไปจนถึง สงคราม ระหว่างมนุษยชาติกับมนุษยชาติด้วยกันเอง ที่นับวันจะเต็มไปด้วย เงื่อนไข-ข้ออ้าง อันยากจะหลีกเลี่ยงยิ่งเข้าไปทุกที และแน่นอนนั่นแหละว่า...ย่อมนับรวมไปถึงบรรดา โรคระบาด ชนิดต่างๆ ที่สามารถอาศัยช่องทางที่ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น อันเป็นช่องทางที่บรรดามวลมนุษย์เองนั่นแหละได้สร้างขึ้นมา เนรมิตขึ้นมา ใช้เป็น หอกสนองคืน ได้อย่างเน้นๆ เนื้อๆ...

                                                     (6)

                การเจ็บ การป่วย การตาย...มันเลยกลายเป็นเรื่องธรรมดา หรือเป็น ส่วนหนึ่งของกระบวนการทางธรรมชาติ อย่างมิอาจปฏิเสธ ดังนั้น...การรับมือที่ดีที่สุด จึงไม่น่าจะอยู่ที่เพียงแค่ความพยายามดูแล รักษา ร่างกาย เพียงล้วนๆ เท่านั้น แต่น่าจะหมายรวมไปถึงการหาทางดูแล รักษา จิตใจ หรืออารมณ์-ความรู้สึกของแต่ละคน แต่ละราย ควบคู่ไปด้วย พูดง่ายๆ ว่า...นอกจากจะต้องหมั่นล้างมือ ล้างไม้ สวมหน้ากาก หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ ก็น่าจะลองหาทาง ล้างใจ ให้ใสๆ สะอาดๆ ขึ้นมามั่ง ให้มองเห็นการเกิด การเจ็บ การป่วย การตาย เป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่งขึ้นไปเท่านั้น หรือจะลองหันไป สวมหน้ากากทางใจ ควบคู่ไปด้วย ก็น่าจะยิ่งดีไปใหญ่ คือลองหาทางปิดกั้นสิ่งที่จะเข้ามากระทำปฏิกิริยากับ อารมณ์-ความรู้สึก หรือถ้าหากปิดกั้นไม่ได้ ก็ลองหยิบเอามา พิจารณา มาใคร่ครวญ หวนคิด ให้เห็นถึงความเป็นไปทางธรรมชาติ ไม่ปล่อยให้มันกลายมาเป็นตัว ปรุงแต่ง อารมณ์-ความรู้สึก จนต้องเกิดอาการ หูแหก-ตาแหก เอาง่ายๆ...

                                                       (7)

                โดยถ้าลอง ล้างใจ หรือ สวมหน้ากากทางใจ เอาไว้ซะแต่เนิ่นๆ ไม่เพียงแต่อาจช่วยให้ตัวเองลดอาการ หูแหก-ตาแหก ลงไปได้มั่ง ยังอาจช่วยให้บรรยากาศการด่าว่า ด่าทอ การกล่าวโทษ กล่าวหาใครต่อใคร การแสดงความรังเกียจ เดียดฉันท์ ต่อเพื่อนร่วมโลกใบเดียวกัน เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไปจนรัฐบาลแต่ละรัฐบาล มันอาจลดๆ ลงตามไปด้วย ชนิดไม่ว่าอยู่ หรือตาย ก็น่าจะพอ อยู่-เย็น-เป็น-สุข ไปได้ด้วยกันทั้งนั้น...

                             ------------------------------------------------------------ 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"