ทั่วโลกต่อสู้ไวรัส ห้าม26ชาติยุโรป เข้าสหรัฐ30วัน


เพิ่มเพื่อน    

 "อเมริกามาก่อน" ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ห้ามนักเดินทางจาก 26 ชาติยุโรปเข้าสหรัฐนาน 30 วัน สนองรับอนามัยโลกยกสถานะโควิด-19 เป็นโรคระบาดใหญ่ทั่วโลก หลายชาติเพิ่มมาตรการจำกัดการเดินทาง ขนาดนักกีฬา-ดาราฮอลลีวูดก็ยังติดเชื้อ 

     สำนักข่าวเอเอฟพีและบีบีซีรายงานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 2563 ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ เปิดการแถลงข่าวถ่ายทอดทางโทรทัศน์จากห้องทำงานในทำเนียบขาวช่วงเวลาไพรม์ไทม์ของคืนวันพุธตามเวลาสหรัฐว่ารัฐบาลของเขาตัดสินใจใช้มาตรการจำกัดการเดินทางกับประเทศยุโรป 26 ประเทศที่อยู่ในกลุ่มความตกลงปลอดวีซ่า (เชงเกน) ซึ่งไม่รวมอังกฤษ, ไอร์แลนด์และประเทศนอกกลุ่มนี้ 
    โดยจะห้ามนักเดินทางจากประเทศกลุ่มเชงเกนเดินทางเข้าสหรัฐ 30 วัน เริ่มมีผลตั้งแต่เที่ยงคืนของวันศุกร์ที่ 13 มีนาคม แต่ยกเว้นให้พลเมืองอเมริกัน
     เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหภาพยุโรป (อียู) ต่างแสดงความไม่พอใจกับมาตรการของสหรัฐและประณามว่าเป็นการดำเนินการของสหรัฐฝ่ายเดียวโดยไม่ได้ปรึกษาหารือกันก่อน
     "นี่คือความพยายามที่ดุดันและครอบคลุมที่สุดเพื่อเผชิญหน้ากับไวรัสต่างแดนในประวัติศาสตร์ยุคใหม่" ผู้นำสหรัฐ ซึ่งโดนวิจารณ์หนักว่าดูเบาสถานการณ์ กล่าวระหว่างการประกาศมาตรการที่สร้างความตกใจแก่ตลาดหุ้นทั่วโลก 
    ทรัมป์ยังสร้างความสับสนเพิ่มอีกว่าสหรัฐจะห้ามการนำเข้าสินค้าจากยุโรปขนานใหญ่ ทำให้เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวต้องรีบชี้แจงว่า คำสั่งห้ามจะมีผลแค่กับมนุษย์ ไม่รวมสินค้าจากยุโรป
     กระทรวงการต่างประเทศยังมีคำแนะนำพลเมืองอเมริกันตามมาด้วยว่า ให้คิดทบทวนการเดินทางไปต่างประเทศ ทั้งนี้ ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ระบุว่า สหรัฐมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้ว 1,135 ราย เสียชีวิต 38 ราย
     เมื่อวันพฤหัสบดี ทอม แฮงส์ นักแสดงชื่อดังชาวอเมริกันวัย 63 ปี ประกาศว่าตัวเขาและริตา วิลสัน ภรรยาวัยเดียวกัน ติดเชื้อโควิด-19 ด้วยแล้ว หลังจากเริ่มมีไข้ระหว่างที่เขามาถ่ายทำภาพยนตร์ที่รัฐควีนส์แลนด์ของออสเตรเลีย เมื่อตรวจพบว่าติดเชื้อ ทั้งคู่ก็ถูกแยกกักกันโรคในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ส่วนกองถ่ายทำต้องระงับ 
     วันเดียวกันนั้น ฝ่ายจัดการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอลเอ็นบีเอก็ประกาศระงับการแข่งขันฤดูกาลนี้ตั้งแต่วันพฤหัสบดี หลังจากพบผู้เล่นทีมยูทาห์แจสติดเชื้อ
     ข้อมูลที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ขององค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) และสำนักข่าวเอเอฟพีเมื่อค่ำวันพฤหัสบดีเผยว่า ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 มากกว่า 127,000 รายแล้วใน 118 ประเทศและดินแดน ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 4,600 ราย 
     ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการดับเบิลยูเอชโอ กล่าวเตือนที่นครเจนีวาเมื่อวันพุธว่า ดับเบิลยูเอชโอประเมินสถานการณ์ตลอดเวลา และมีความกังวลอย่างยิ่ง การแพร่ระบาดและความรุนแรงโรคนี้ รวมถึงความเฉื่อยชาในการรับมือนั้นอยู่ในระดับที่น่าตกใจ ฉะนั้น ดับเบิลยูเอชโอจึงประเมินว่า โควิด-19 จัดได้ว่าเป็นโรคระบาดใหญ่ทั่วโลกแล้ว 
     ผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในจีนที่เริ่มพบการแพร่โรคครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม แต่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนเชื่อว่า การแพร่ระบาดถึงขีดสูงสุดในจีนนั้นผ่านพ้นไปแล้ว จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในจีนนับถึงเที่ยงคืนวันพุธนั้นมีเพียง 15 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 11 ราย ยอดรวมผู้ติดเชื้อในจีน 80,793 ราย เสียชีวิตรวม 3,169 ราย ที่เมืองอู่ฮั่นมีผู้ติดเชื้อรายใหม่แค่ 8 คน เป็นตัวเลขหลักเดียวครั้งแรกนับแต่เดือนมกราคม แต่ผู้ติดเชื้อที่นำเข้าจากต่างประเทศยังคงเพิ่มขึ้นอีก 6 ราย รวมเป็น 85 ราย
     สถานการณ์ในอิตาลียังหนักสุด ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากกว่า 2,300 รายในวันเดียว เป็น 12,462 รายในวันพุธ เสียชีวิต 827 ราย รัฐบาลอิตาลีประกาศมาตรการเพิ่มเติมจากการปิดเมืองจำกัดการเดินทางของประชาชน 60 ล้านคนทั่วประเทศ โดยสั่งร้านค้าเกือบทั้งหมด ยกเว้นร้านขายยาและขายอาหาร ยุติกิจการชั่วคราวไปถึงวันที่ 25 มีนาคม
     สเปนเป็นอีกประเทศยุโรปที่ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มพรวดพราด โดยวันพฤหัสบดียอดเพิ่มเป็น 2,968 ราย เสียชีวิต 84 ราย  เจ้าหน้าที่ในรัฐบาลสเปนทั้งหมดกำลังรับการตรวจเชื้อ หลังจากพบว่ารัฐมนตรีหญิงคนหนึ่งติดเชื้อ สถานการณ์ในสเปนยังทำให้การแข่งขันฟุตบอลลีกสูงสุดทั้งหมดถูกระงับอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หลังจากนักฟุตบอลทีมเรอัลมาดริดถูกกักกันโรคทั้งทีม เนื่องจากมีนักบาสเกตบอลทีมเรอัลมาดริดรายหนึ่งติดเชื้อ โดยทีมฟุตบอลและบาสเกตบอลซึ่งใช้สถานที่ฝึกซ้อมแห่งเดียวกัน
     ที่เยอรมนี ซึ่งมีผู้ติดเชื้อแล้วมากกว่า 1,500 ราย นายกฯ อังเกลา แมร์เคิล อ้างคำกล่าวผู้เชี่ยวชาญว่ามีความเป็นไปได้ที่ประชากร 60-70% จาก 58 ล้านคนในประเทศจะติดเชื้อไวรัสนี้ หากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไปโดยไม่มีวัคซีนป้องกัน
     ในฝั่งเอเชีย วันพุธที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียประกาศระงับการตรวจลงตราหนังสือเดินทางหรือวีซ่าเพื่อการท่องเที่ยวทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม ไปถึงวันที่ 15 เมษายน แต่ยังยกเว้นวีซ่าการทูตและวีซ่าสำหรับองค์กรระหว่างประเทศ, การจ้างงานและโครงการต่างๆ นอกจากนี้อินเดียจะกักกันโรคอย่างน้อย 14 วัน กับนักเดินทางทุกคนรวมถึงชาวอินเดียที่เคยเดินทางไปหรือมาจาก 7 ประเทศที่มีการแพร่ระบาดเหล่านี้ภายหลังวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ได้แก่ จีน, อิตาลี, อิหร่าน, เกาหลีใต้, ฝรั่งเศส, สเปน และเยอรมนี 
     ทั้งนี้ อินเดียมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเท่าตัวในช่วงเวลา 4 วัน เป็น 60 รายเมื่อวันพุธ และเพิ่มเป็น 73 รายในวันพฤหัสบดี เพิ่มความตระหนกต่อประชาชนและรัฐบาล
     ที่อเมริกากลาง เอลซัลวาดอร์เป็นประเทศที่ใช้มาตรการควบคุมขั้นรุนแรงที่สุดโดยห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศอย่างสิ้นเชิงเป็นเวลา 21 วัน.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"