โควิด-19 สงครามโลกในยุคโลกาภิวัตน์


เพิ่มเพื่อน    

 

       องค์การอนามัยโลกประกาศการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา โควิด-19 (COVID-19) เป็นการระบาดระดับโลก ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ร้ายแรงจะมีคนเอ่ยถึงสงครามโลก สงครามล้างโลก บางคนคิดถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ความจริงแล้วการจะนับว่าเป็นสงครามโลกหรือไม่ขึ้นกับการนิยาม การแพร่ระบาดครั้งนี้อาจมองว่าเป็นสงครามโลก เป็นสงครามที่นานาชาติ คนมากมายต้องสู้กับเชื้อชนิดใหม่ สงครามที่สร้างความเสียหายมหาศาล อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะฟื้นตัวกลับมา

ประเมินติดเชื้อ:

                Brian Monahan แพทย์ประจำทำเนียบขาวกับศาลสูงสุดกล่าวว่า ในที่สุดคนอเมริกัน 70-150 ล้านคนจะติดเชื้อ (ราว 21-46 เปอร์เซ็นต์ของประชากร) หากยึดอัตราการเสียชีวิตที่ 1 เปอร์เซ็นต์ ยอดเสียชีวิตของสหรัฐอยู่ที่ 7 แสน -1.5 ล้านคน ทำนองเดียวกับนายกฯ แมร์เคิล ที่กล่าวว่า ในที่สุดคนเยอรมัน 60-70 เปอร์เซ็นต์จะติดเชื้อโควิด-19 และมีผู้ประเมินว่าในที่สุดประชากรโลกราว 40-70 เปอร์เซ็นต์จะติดเชื้อ

                ด้านความเสียหายทางเศรษฐกิจ James Bullard ประธานเฟดสาขา St. Louis ประเมินว่าในไตรมาสที่ 2 คนอเมริกันอาจว่างงานกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ GDP หายไป 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนบริษัท Morgan Stanley ประเมินว่า GDPไตรมาส 2 จะหายไป 30 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

                กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินความเสียหายล่าสุดว่าอาจรุนแรงกว่าวิกฤติการเงินปี 2008-2009 และจะเริ่มฟื้นตัวในปี 2021

                เป็นตัวอย่างข้อมูลที่พูดถึงความเสียหาย

ความร่วมมือระดับโลก:

                เมื่อเชื้อแพร่ระบาดระดับโลก จำต้องอาศัยความร่วมมือระดับโลก ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่า โควิด-19 เป็นภัยคุกคามมนุษยชาติ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมมือกัน คืออาวุธทรงพลานุภาพที่สุด รัฐบาลจีนพร้อมกระชับความร่วมมือทุกด้านกับทุกประเทศ ผู้นำ G7 ประกาศจะร่วมทำทุกอย่างที่จำเป็น รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจโลก

                IMF สนับสนุนนานาชาติออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คลายกฎระเบียบการเงิน ให้เงินอุดหนุนธุรกิจ ลดภาษี เลื่อนเก็บภาษี จ่ายเงินตรงแก่คนงาน นอกจากนี้ IMF กับธนาคารโลกร่วมประสานเสียงขอให้บรรดาประเทศเจ้าหนี้พักการชำระหนี้แก่ประเทศลูกหนี้ ไม่ซ้ำเติมประเทศที่กำลังประสบปัญหาจากการแพร่ระบาด

                ตอนนี้ประชากรโลก 1 ใน 3 ใช้ชีวิตภายใต้มาตรการควบคุมการเดินทาง ด้วยหลักการ “คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า” รัฐบาลหลายประเทศอัดฉีดงบประมาณช่วยเหลือจำนวนมหาศาลเพื่อให้คนกับระบบอยู่ได้

                บางประเทศ เช่น จีน รัสเซีย เกาหลีใต้ ส่งความช่วยเหลือยา เวชภัณฑ์แก่ประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

                ภาคธุรกิจก็ไม่น้อยหน้า หลายบริษัทปรับปรุงโรงงานเพื่อผลิตสินค้าต้านเชื้อโรค บริษัท Ford, GM และ Tesla อาจปรับโรงงานช่วยผลิตเครื่องช่วยหายใจ เหมือนสมัยสงครามโลกที่โรงงานหลายแห่งกลายเป็นโรงงานผลิตเครื่องบิน รถถัง ระเบิด ตอนนี้มาผลิตเครื่องมือช่วยชีวิต เวชภัณฑ์

                อีกมาตรการเร่งด่วนคือ หายากับวัคซีน มีข้อมูลออกมาเรื่อยๆ ว่าหลายประเทศกำลังทดสอบ ทดลอง เช่น ออสเตรเลียกำลังทดลองสูตรใช้ยาร่วม 2 ตัวที่อาจฆ่าโควิด-19 รัฐบาลสหรัฐกับจีนเริ่มทดสอบวัคซีนทางคลินิกแล้ว (เริ่มทดลองกับคน)

การต่อสู้ของสงครามข่าวสาร:

                ในขณะที่นานาชาติกำลังสู้กับเชื้อโรค อีกด้านคือการปะทะระหว่างประเทศด้วยถ้อยคำ นโยบาย การต่อสู้ของข้อมูลจริงกับข่าวปลอม

                ประเด็นที่พูดกันมากตั้งแต่ต้นคือเป็นไวรัสของใคร มาจากไหน บ้างว่าเป็นฝีมือ CIA บ้างว่าเป็นความร่วมมือระหว่างสหรัฐกับอิสราเอล บ้างว่ามาจากอินเดีย บ้างว่าเป็นแผนของบริษัทยา-วัคซีน บ้างว่าหลุดจากห้องทดลองของจีน

                เมื่อโควิด-19 แพร่ระบาดหนักในสหรัฐ ประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มใช้คำว่า "Chinese virus" อธิบายว่าเหตุที่ใช้คำนี้เพราะไวรัสมาจากจีน ไม่คิดต่อต้านคนเชื้อชาติจีนหรือเหยียดผิว ตนสนับสนุนคนอเมริกัน

                เชื้อสายจีน ไม่ใช่ความผิดของคนเหล่านี้ หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาคนเชื้อสายจีนในสหรัฐและหลายประเทศถูกประณาม เหยียดหยาม ดูหมิ่น คุกคาม ทุบตี

                กลางสัปดาห์ที่ผ่านมาในที่ประชุม รมต.ต่างประเทศ G7 ไมค์ ปอมเปโอ (Mike Pompeo) รมต.สหรัฐขอให้ใช้คำว่าไวรัสอู่ฮั่น (Wuhan virus) ในแถลงการณ์ชี้ว่า เหตุที่แพร่ระบาดหนักเพราะรัฐบาลจีนไม่ให้ความร่วมมือกับสหรัฐต้านการแพร่ระบาดแต่แรก

                ในขณะที่คนทั่วโลกใช้คำว่าโควิด-19 แปลกแต่จริงที่ผู้นำประเทศนี้ไม่ใช้คำว่า COVID-19

                ท่ามกลางสถานการณ์ที่วุ่นวาย ยุคที่นิยมใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ทุกคนได้รับข้อมูล แสดงความคิดเห็นและส่งต่อออกไป ไม่ว่าจะด้วยประสงค์ดีหรือเจตนาร้าย ข้อมูลทั้งถูกกับผิดถูกสร้างและกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว บ่อยครั้งที่ความเท็จกลายเป็นเรื่องที่หลายคนเชื่อว่าเป็นความจริง และยึดถือปฏิบัติตามนั้น เช่น บ้างคิดว่าดื่มชาจะรักษาโรคได้ เรื่องนี้เป็นความจริงครึ่งเดียว ชามีสารฆ่าเชื้อโควิด-19 ได้จริง แต่สารฆ่าเชื้อจากชาไปไม่ถึงปอดที่ติดเชื้อ หลายคนยังเชื่อและปฏิบัติอยู่

                วิธีการรับสื่อโควิด-19 ที่เป็นประโยชน์คือ รับสื่อที่ออกจากหน่วยงานสาธารณสุข ผู้เชี่ยวชาญที่รู้จริง ระวังเสพสื่อเพื่อ “เอามัน” บางคนชอบเรื่องที่มีความรุนแรงมากๆ เมื่อเสพเข้าไปมากย่อมส่งผลต่อความคิดจิตใจ คนที่ชอบความรุนแรงนั้นแหละจะได้รับผลทางใจก่อน

                บางคน “ต่อเติมเสริมแต่ง” จนเกินจริง บางคนชอบ “มโนไปเอง” มองโลกแง่ร้าย การเสพข่าวเพื่อรับรู้ข้อมูลความจริง ให้ “ตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตระหนก” เป็นโอกาสดีที่สังคมจะทบทวนตัวเองว่าที่ผ่านมามองโลกแบบ “ตามใจฉัน” มากเกินไปหรือไม่ ควรที่จะกลับมายึดถือ “เหตุผลข้อมูลความจริง”

ในวิกฤติมีโอกาส:

                โควิด-19 สร้างความปั่นป่วนแก่หลายอุตสาหกรรม แต่ในวิกฤติมีโอกาส มีบางกลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการนี้ นั่นคือบริการที่ให้ความเป็นส่วนตัว ระบบออนไลน์และใช้เทคโนโลยีเป็นพื้นฐาน เช่น ห้าง Walmart, Dollar Tree และ 7-Eleven ในสหรัฐประกาศต้องการลูกจ้างชั่วคราวเพิ่ม 200,000 คนด่วน เนื่องจากลูกค้าแห่กันมาซื้อของ บริษัท Amazon เพิ่มค่าแรงนอกเวลาเป็น 2 เท่าจากค่าแรงปกติแก่พนักงานคลังสินค้า พร้อมกับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจาก 15 ดอลลาร์เป็น 17 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง บริษัทมีแผนเพิ่มลูกจ้างอีก 100,000 คน

                ไม่มีใครไปโรงภาพยนตร์แต่ยอดดูออนไลน์เพิ่มทุกช่องทางทั้งแบบจ่ายเงินกับแบบฟรี โรงหนังที่ให้ขับรถเข้ามาดู (drive-in cinema) กำลังเป็นที่นิยม

                ไม่มีใครมีอารมณ์เที่ยวต่างประเทศ บริษัทการบินระงับเส้นทางบินเป็นว่าเล่น แต่กิจการให้เช่าเครื่องบินส่วนตัว บริการเครื่องบินเช่าเหมาลำตอนนี้กำลังพุ่งทะยาน

                ผู้เชี่ยวชาญบางท่านเห็นว่าการทำงาน การจัดองค์กรในอนาคตจะเปลี่ยนไป หลายคนที่ยังไม่คิดว่าจะสามารถทำงานผ่านออนไลน์ ไม่ชำนาญ จะเริ่มเคยชินเพราะไม่มีทางเลือก บุคคลหรือกิจการใดที่ปรับตัวรับสถานการณ์ได้ดีและเร็วกว่าย่อมได้ประโยชน์

สรุป:

                ประวัติศาสตร์สอนเราว่าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น เช่น การปฏิวัติอุสาหกรรม สงครามโลก รถยนต์ที่ใช้น้ำมัน อินเทอร์เน็ต ล้วนเปลี่ยนโครงสร้างหรือระบบโลกในทางใดทางหนึ่ง น่าติดตามว่าการแพร่ระบาดรอบนี้จะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ การเมือง สังคมโลกอย่างไร โลกไม่น่าจะเหมือนเดิม

                ในระดับปัจเจก หลายคนเจ็บป่วยร้ายแรงจากโควิด-19 บางคนเสียชีวิต คนนับล้านตกงานหรือต้องเปลี่ยนงาน ผู้ประกอบการใหญ่น้อยเสียหาย ชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นกับประชาชนนับร้อยล้านคนทั่วโลก

                วิกฤติเป็นแรงผลักดันให้ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ต้องปรับตัว เป็นโอกาสดีแก่สังคมโลกที่จะเรียนรู้อยู่ร่วมกัน รับรู้ว่าผลกระทบเกิดกับทุกคน คำว่าเสรีภาพหมายถึงเสรีภาพภายใต้ขอบเขต มีจิตสำนึกต่อสังคม รักตัวเองพร้อมกับรักคนอื่น 1 คนที่ติดเชื้อไม่กักตัวเองอาจทำให้อีกหลายคนติดเชื้อ กลายเป็นปัญหาลูกโซ่

                การตื่นตัวเป็นเรื่องดีแต่ต้องไม่ตื่นตระหนก รู้หรือไม่ว่าแต่ละปีมีผู้ติดเชื้อมาเลเรียนับร้อยล้านคน เสียชีวิต 8 แสนคนต่อปี (10 ปีคือ 8 ล้านคน) เป็นอีกตัวอย่างที่บอกว่าแท้จริงแล้วมีภัยจากเชื้อโรคอยู่เสมอ ขึ้นกับว่าตระหนักหรือไม่ เราทุกคนอยู่ในโลกที่เป็นเช่นนี้ นี่คือสงครามโลกในยุคโลกาภิวัตน์ที่กำลังดำเนินไป.

 

--------------------

ภาพ : ยอดยืนยันผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิตและหายป่วยแล้ว เมื่อ 28 มีนาคม

ที่มา: https://graphics.reuters.com/CHINA-HEALTH-MAP/0100B59S39E/index.html

-----------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"