ว่าด้วยการกักตัวเองเอาไว้ในบ้าน


เพิ่มเพื่อน    

 

                                                 (1)

                ด้วยเหตุเพราะโดยวิถีชีวิตตามปกติ...ก็ออกจะคุ้นเคย คุ้นชิน กับการ กักตัวเองอยู่ในบ้าน มานานแล้ว เผลอๆ อาจร่วมๆ 2 ทศวรรษกว่าๆ ไปแล้วเห็นจะได้ ก็เลยแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองได้รับ ผลกระทบ จากการประกาศ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลท่าน เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของ เชื้อไวรัสล้างโลก อย่างคุณพี่ Covid-19 แต่อย่างใด...

                                                       (2)

                คือตั้งแต่ยังไม่มีใครเขาคิดจะควบคุม บังคับ อันตัวข้าพเจ้าเอง ก็ดันเกิดความรัก สมัครใจ ที่จะอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน ไม่คิดจะออกไปไหน-ต่อไหน มานานแล้ว โดยเฉพาะในช่วงที่ความแก่ ความชรา เริ่มผลุดๆ โผล่ๆ เข้ามาทางประตู ความหนุ่ม ความห้าว ความอหังการ ฯลฯ เลยมีอันต้องพรั่งพรูออกไปทางหน้าต่าง แม้กระทั่ง ความมันซ์ซ์ซ์จุกอก ก็เถอะ จู่ๆ...หนีไม่พ้นต้องมีอันละลายคลายจางลงไปตามสภาพ เช่น เมื่อครั้งที่แม้ศีรษะจะถลอกปอกเปิกไปแล้วประมาณครึ่งบ้าน แต่พรรคพวกเพื่อนฝูงยังอุตส่าห์ลาก อุตส่าห์จูง ให้ไปเยี่ยม น้องๆ แถวบาร์ ค็อกเทลเลาจน์ แถบถนนพัฒน์พงศ์ อันเป็นถิ่นเก่า ถิ่นแก่ แต่ดั้งเดิม แต่ทันทีที่พวก น้องๆ เขาเปล่งเสียงร้องถาม ด้วยความเมตตา ประมาณว่า ป๋า...จะเอาอะไรอีกหรือเปล่า??? อะไรทำนองนั้น แค่นี้....ก็หมดแล้ว!!!

                                                        (3)

                การหันมา กักตัวเองเอาไว้ในบ้าน อันเนื่องมาจากวัย สังขาร หรือความชรานั้น...อันที่จริงอาจต้องถือเป็นความเป็นไปตามครรลองของ ธรรมชาติ เอาเลยก็ว่าได้ ไม่งั้นบรรดานักปราชญ์ ราชบัณฑิต ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ในอินตะระเดียยุคโบร่ำ โบราณ ท่านคงไม่บัญญัติ แยกแยะ เส้นทาง วิถีทางการใช้ชีวิตของมวลมนุษย์ทั้งหลาย เอาไว้ประมาณ 4 รูป 4 แบบ หรือ 4 ขั้นตอนด้วยกัน ไล่มาตั้งแต่ขั้นแรก หรือช่วงแรก ที่เรียกว่าช่วง พรหมจรรย์ คือช่วงแห่งการศึกษา เล่าเรียน ค้นคว้า แสวงหา อะไรต่อมิอะไรไปตามเรื่อง ตามราว ตามความหนุ่ม ความห้าว หรือความอหังการ ทั้งหลาย ตั้งแต่เป็นเด็กไปจนกระทั่งเป็นหนุ่ม เป็นสาว หรือไปจนกระทั่งอายุ อานาม ได้ 25 ปี ประมาณนั้น...

                                                         (4)

                จนเมื่อวัยและสังขาร หรือเมื่ออายุอยู่ในช่วงประมาณ 26-50 ปี ท่านให้คำเรียกขานช่วงชีวิต หรือเส้นทางชีวิตในช่วงนี้ ว่าช่วงของ คฤหัสถ์ หรือช่วงแห่งการปักหลัก ปักฐาน ดำรงสถานะเป็น ผู้ครองเรือน ผู้สร้างราก สร้างฐาน ให้กับตนเองและครอบครัวพอได้ใช้ชีวิตอย่างมีน้ำ มีเนื้อ มีความมั่นคง หรือพออยู่ๆ กันไปได้ ภายใต้สภาพสังคมใดๆ ก็แล้วแต่ แต่พอช่วงวัย ช่วงอายุ ตั้งแต่ 51 ปี ไปจนถึง 75 ปี ท่านให้คำเรียกขานช่วงชีวิตระหว่างนี้ ว่าช่วง วานปรัสถ์ หรือช่วงที่เหมาะแล้ว สมควรแล้ว ที่จะ แยกตัว หรือ กักกันตัวเอง เอาไว้ในป่าโน่นเลย หรือในที่เงียบ ที่สงัด ที่ที่พอมีโอกาสได้ใช้ สมาธิ ในการศึกษา เรียนรู้ ถึงสิ่งที่ถือเป็น จุดมุ่งหมายของชีวิต ของแต่ละคน แต่ละราย ประเภทศึกษาให้รู้ว่า...ตัวเราเองนั้น เกิดมาทำไม อะไรที่ทำให้เกิด อะไรที่ทำให้ตาย ตายแล้วไปไหน??? หรืออะไรต่อมิอะไรที่ถือเป็น “ธรรมะ” หรือถือเป็นสิ่งที่ควรรับรู้ เรียนรู้ เพื่อที่จะไม่ต้องเกิด ต้องตาย กันแบบซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า...

                                                       (5)

                แต่ถ้าอายุ อานาม ยังคงยืดยาว ยืนยาว ต่อไปถึงระดับ 76 ปี หรือเป็น 100 ปี หรือระดับพอๆ กับ ป๋าเปลว สีเงิน ของหมู่เฮา อะไรทำนองนั้น ท่านชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้เสร็จสรรพ ว่าควรที่จะได้รับแต่งตั้ง ให้ดำรงสถานะตำแหน่ง สันยาสี ไปตามสภาพ หรือควรที่จะ ออกบวช ลูกเดียว อาจเพื่อให้ไม่ต้องเปลืองเรี่ยว เปลืองแรง ในการกัด การจิก การด่า ใครต่อใคร หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้ ซึ่งจะเป็นคำชี้แนะ ชี้นำ ที่ถูก-ไม่ถูก เหมาะ-ไม่เหมาะ ควร-ไม่ควร อันนั้น...คงต้องไปใคร่ครวญ พิจารณา กันเอาเอง แต่การแยกแยะ บัญญัติ ช่วงชีวิตต่างๆ เอาไว้ดังที่กล่าวไปแล้ว ก็อาจถือเป็นการสะท้อนครรลองความเป็นไปตาม ธรรมชาติ ได้เป็นอย่างดี...

                                                      (6)

                ดังนั้น...สรุปเอาเป็นว่าการ กักตัวเองเอาไว้ในบ้าน เอาเข้าจริงๆ แล้ว มันคงไม่ได้ถึงกับเป็นอะไรที่น่าอึดอัด ขัดข้อง จนเกินไป ยิ่งโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัย สังขาร ที่สอดคล้อง เหมาะสม กับการดำรงตนเป็น วานปรัสถ์ ทั้งหลาย ส่วนบรรดาพวกเด็กๆ หรือพวกคฤหัสถ์ พวก พรหมจรรย์ แม้อาจต้องอึดอัดอยู่บ้าง แต่ก็พอมีทางออก ทางไป อยู่อีกเยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะในโลกยุคใหม่ สมัยใหม่ ที่การเรียนรู้ การแสวงหา อะไรก็ตาม หรือกระทั่งการหาเงิน หาทอง การครองเรือน ด้วยวิธี เดลิเวอรี ก็ยังพอทำได้ไม่ยาก ทำไงได้!!!...ก็ด้วยเหตุเพราะ ธรรมชาติ อีกนั่นแหละ ที่จู่ๆ...ท่านได้ส่งเชื้อไวรัส Covid-19 มามอบให้แก่มวลมนุษยชาติ ด้วยเหตุผล กลใด ก็ยากที่จะรับรู้ได้ แต่ถ้ายังไม่คิดปรับตัว ปรับใจ ให้สอดคล้องกับความเป็นไปของธรรมชาติ ยังพยายามดิ้นรน ออกไปแรดไป-แรดมา โอกาสที่จะต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง เพราะเชื้อ Covid-19 ขณะที่ยังไม่ได้มีโอกาสเรียนรู้ถึง จุดมุ่งหมายของชีวิต เอาเลยแม้แต่น้อย มันจึงออกจะเป็นอะไรที่น่าเสียดายเอามากๆ...

                          --------------------------------------------------------------------- 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"