‘ทรัมป์’เล่นการเมืองไวรัส สิงคโปร์ติดเชื้อจ่อขึ้นหมื่น


เพิ่มเพื่อน    

 "โดนัลด์ ทรัมป์" หน้ามืด ประกาศลงนามคำสั่งประธานาธิบดีระงับการรับคนเข้าเมืองชั่วคราว อ้างโดน "ศัตรูที่มองไม่เห็น" โจมตี ทั้งที่ยอดติดเชื้อและตายเพราะโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกามากสุดในโลกอยู่แล้ว ขณะสิงคโปร์ติดเชื้อจ่อหลักหมื่น นายกฯ ลี เซียนลุง ขยายบังคับใช้มาตรการป้องกันถึงต้นเดือนมิถุนายน

    สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแผนการล่าสุดของเขาผ่านทวิตเตอร์เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 20 เมษายน 2563 โดยวอชิงตันโพสต์อ้างแหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว 2 รายว่า ทรัมป์น่าจะลงนามคำสั่งของฝ่ายบริหารฉบับนี้อย่างเร็วในวันอังคาร ซึ่งจะบรรลุเป้าหมายนโยบายยาวนานของเขาเพื่อจำกัดคนเข้าเมือง โดยใช้ข้ออ้างวิกฤติด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจ
    ผู้นำสหรัฐอเมริกาอ้างถึงโควิด-19 ว่าเป็น "ศัตรูที่มองไม่เห็น" ที่กำลังโจมตีอเมริกา คร่าชีวิตผู้คนแล้วมากกว่า 42,000 คน จากผู้ติดเชื้อเกือบ 788,000 คน และเพื่อปกป้องการจ้างงานของพลเมืองอเมริกัน เขาจึงจะลงนามคำสั่งประธานาธิบดีระงับการออกวีซ่าคนเข้าเมืองทั้งหมดเป็นการชั่วคราว 
    ทำเนียบขาวปฏิเสธจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับช่วงเวลา หรือฐานรองรับด้านกฎหมาย หรือเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจของทรัมป์ ซึ่งชูธงนโยบายจำกัดคนต่างด้าวเข้าเมืองและผลงานทางเศรษฐกิจในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วเมื่อปี 2559 และก่อนหน้านี้ก็หวังจะนำประเด็นเหล่านี้มาหาเสียงอีกเพื่อรักษาเก้าอี้สมัยที่ 2 ในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนปีนี้
    เอเอฟพีกล่าวว่า ปีงบประมาณ 2562 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาออกวีซ่าคนเข้าเมืองราว 462,000 ราย ส่วนหน่วยงานด้านคนเข้าเมืองและพลเมืองให้สถานะผู้พักอาศัยถาวรในสหรัฐอเมริกา หรือกรีนการ์ดไปเกือบ 577,000 ราย ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีคนกลุ่มใดได้รับผลกระทบจากคำสั่งนี้  เนื่องจากสหรัฐอเมริกาสั่งระงับการเดินทางเข้าเกือบทั้งหมดอยู่แล้ว และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ก็ยังระงับบริการออกวีซ่าทั้งหมดทั่วโลก รวมถึงวีซ่าคนอพยพเข้าเมือง โดยมีความเป็นไปได้ว่ากลุ่มที่จะได้รับผลกระทบด้วยคือกลุ่มที่ต้องการขอกรีนการ์ด
    สมาชิกพรรคเดโมแครตหลายคนประณามการตัดสินใจของทรัมป์ โดยบอกว่าเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจจากความล้มเหลวของรัฐบาลทรัมป์ในการรับมือกับไวรัสโคโรนา แม้ทรัมป์จะยกความดีความชอบที่เขาตัดสินใจห้ามผู้เดินทางจากจีนเข้าสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เดือนมกราคม และห้ามผู้เดินทางจากหลายชาติยุโรปตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม แต่มาตรการล็อกดาวน์ของหลายสิบมลรัฐกระทบต่อเศรษฐกิจที่ทำให้คนว่างงานแล้ว 22 ล้านคน และทรัมป์พยายามกดดันให้ผู้ว่าการรัฐต่างๆ รีบผ่อนคลายมาตรการ รวมถึงการพูดให้ท้ายประชาชนออกชุมนุมประท้วงคำสั่งบังคับให้คนอยู่บ้าน
    อีกด้านหนึ่ง องค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ย้ำอีกครั้งระหว่างการแถลงข่าวที่นครเจนีวาเมื่อวันอังคารว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีต้นตออยู่ในค้างคาว โดย ฟาเดลา ชาอิบ โฆษกดับเบิลยูเอชโอ กล่าวว่า หลักฐานที่มีทั้งหมดบ่งชี้ว่าไวรัสนี้มีต้นกำเนิดในสัตว์ ไม่ได้เกิดจากการดัดแปลงหรือสร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการทดลองหรือสถานที่แห่งใด แม้จะยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าไวรัสนี้กระโดดข้ามสปีชีส์มาติดมนุษย์ได้อย่างไร แต่แน่ใจได้ว่ามีสัตว์พาหะเป็นตัวกลาง
    สัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์และสื่อสหรัฐอเมริกาพยายามปลุกกระแสทฤษฎีสมคบคิด ที่ว่าไวรัสนี้หลุดจากห้องแล็บอู่ฮั่นในภาคกลางของจีน ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่พบการระบาดครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
    ด้านสถานการณ์ในสิงคโปร์ซึ่งรุนแรงที่สุดในกลุ่มอาเซียน เมื่อวันอังคาร กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์รายงานว่า มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่อีก 1,111 คน ยอดสะสมในประเทศเพิ่มเป็น 9,125 คน  ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติที่อาศัยในหอพักแรงงานที่แออัด ซึ่งอาคาร 19 หลังอยู่ภายใต้มาตรการกักกันโรคแล้ว และแรงงานหลายพันคนถูกย้ายไปพักที่อื่นเช่นอพาร์ตเมนต์ว่างเพื่อลดความเสี่ยง ในกลุ่มผู้ติดเชื้อรายใหม่พบเป็นการแพร่เชื้อในหมู่ชาวสิงคโปร์หรือผู้มีถิ่นพำนักถาวร 20 คน ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่ 11 คนเท่าเดิม
    นายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง แถลงต่อประชาชนผ่านโทรทัศน์ช่วงเย็นว่า รัฐบาลจะขยายเวลาบังคับใช้มาตรการปิดโรงเรียนและธุรกิจที่ไม่จำเป็น ซึ่งเริ่มใช้เมื่อต้นเดือนนี้ออกไปจนถึงวันที่ 1 มิถุนายน จากเดิมที่จะครบกำหนดวันที่ 4 พฤษภาคม และจะเพิ่มความเข้มงวดของมาตรการด้วย ลียอมรับว่าจะมีคนจำนวนมากผิดหวังกับการขยายมาตรการ ซึ่งภาคธุรกิจและแรงงานจะได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่เขาหวังให้ประชาชนเข้าใจว่าความเจ็บปวดระยะสั้นนี้ก็เพื่อควบคุมไวรัส ปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน ที่จะทำให้สิงคโปร์ได้ฟื้นฟูเศรษฐกิจอีกครั้ง
    วันเดียวกัน อินโดนีเซียรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 375 คน ยอดติดเชื้อสะสมเพิ่มเป็น 7,135  คน แต่อินโดนีเซียเพิ่งตรวจเชื้อแค่ราว 46,700 คน และมีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 26 คน ยอดผู้เสียชีวิตรวมเป็น  616 คน มากที่สุดในอาเซียน ส่วนฟิลิปปินส์มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 140 คน ยอดสะสมเป็น 6,599 คน เสียชีวิตเพิ่ม 9 คน ยอดผู้เสียชีวิตรวมเป็น 437 คน และมาเลเซียมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 57 คน ยอดสะสม  5,482 คน เสียชีวิตเพิ่ม 3 คน รวมเป็น 92 คน
    ภาพรวมทั่วโลก จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใกล้ถึง 2.5 ล้านคนแล้ว ข้อมูลที่มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์รวบรวมถึง 18.00 น. วันอังคารของไทย ผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกอยู่ที่ 2,494,915 ราย ใน 10  อันดับแรกของโลก สหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อมากที่สุด 787,960 ราย, สเปน 204,178 ราย, อิตาลี  181,228 ราย, ฝรั่งเศส 156,493 ราย, เยอรมนี 147,065 ราย, สหราชอาณาจักร 125,856 ราย, ตุรกี  90,980 ราย, จีน 83,849 ราย, อิหร่าน 83,505 ราย และรัสเซีย 52,763 ราย
    จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลก 171,249 ราย สหรัฐอเมริกามีผู้เสียชีวิตมากที่สุด 42,364 ราย โดยยังคงมีผู้เสียชีวิตใน 24 ชั่วโมงเป็นหลักพัน ที่ 1,433 รายเมื่อวันจันทร์ นครนิวยอร์กเมืองเดียวมีคนเสียชีวิต  14,604 คน อิตาลีมีผู้เสียชีวิตมากรองลงมาที่ 24,114 คน, สเปน 21,282 คน, ฝรั่งเศส 20,265 คน เป็นชาติที่ 4 ที่มีผู้เสียชีวิตเกินหลักสองหมื่น, สหราชอาณาจักร 16,509 คน, เบลเยียม 5,998 คน, อิหร่าน  5,297 คน, เยอรมนี 4,862 คน, จีน 4,636 คน และเนเธอร์แลนด์ 3,751 คน.


 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"