อนาคตอันเก่าแก่


เพิ่มเพื่อน    

                                                                              (1)

ถึงวันอาทิตย์ วันหยุดสุดสัปดาห์ ก็ได้เวลา “เทศนา”กันอีกรอบ...ถือว่าช่วย “พระ”ท่าน เพราะเท่าที่ท่านเทศน์ๆกันมา คงต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจะปากเปียก ปากแฉะ ปากฉีกไปถึงรูหู โอกาสที่จะฟื้นฟูธรรมะ ฟื้นศีลธรรมให้กลับมา ดูจะหนักไปทางสาละวันเตี้ยลง เตี้ยลง คือมีแต่ “ทรง”กับ”ทรุด”หรือหนักไปทางทรุดนั่นแหละมากกว่า ส่งผลให้ทั้ง “พระ”ทั้ง “โยม”มีแต่เละกับเละหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

                                                                               (2)

การเทศนารอบนี้...เลยคงไม่ได้มุ่งไปที่ตัว “พระ” หรือสิ่งที่พระท่านเทศน์ แต่อยากชวนให้ไปมองถึง “สภาวะแวดล้อม”ต่างๆซะมากกว่า ว่ามันเป็นสิ่งเอื้ออำนวยให้กับการทำให้ “ศีลธรรมกลับคืนมา”ได้มาก-น้อยขนาดไหน เพราะถ้าหากนิมนต์พระให้ท่านไปเทศน์ในคาเฟ่ ในคลับ ในบาร์ โอกาสที่พระเองนั่นแหละ อาจต้องแปลงสภาพกลายไปเป็น “ตลกคาเฟ่”ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ เหมือนอย่าง “พระนักเทศน์”รุ่นใหม่ๆหลายต่อหลายราย ที่เทศน์ไป-เทศน์มา ดันกลายเป็น “หม่ำ จ๊กม๊ก”หรือเป็น “โน๊ต เชิญยิ้ม”ฯลฯเข้าไปทุกที...

                                                                               (3)

หรือถ้าดันนิมนต์ให้ท่านไปเทศน์ใน “ตลาดหุ้น” ไปๆ-มาๆท่านอาจกลายสภาพไปเป็น “พระธรรมกาย” ประเภทแทบแยกแยะไม่ออกว่าเงินส่วนไหนเป็นเงินบริจาค เงินส่วนไหนเป็นเงินสหกรณ์ ที่ถูกนำไปหมุน ไปปั่น ไปลงทุนซื้อหุ้น-ขายหุ้นในแต่ละตัว กลายเป็นคดีความ คดีแพ่ง คดีอาญา ที่ยังไม่รู้ว่าจะไปถึงไหนต่อถึงไหน จนแม้กระทั่งบัดนี้ คือถ้าหาก “สภาวะแวดล้อม”มันไม่เอื้ออำนวยให้ซะอย่าง โอกาสที่จะนำเอาศีลธรรมกลับคืนมาคงต้องออกเรี่ยว ออกแรง กันอีกเยอะ แถมแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย โดยเฉพาะถ้ามองไปถึงสภาวะแวดล้อมใหญ่ๆ หรือสภาวะแวดล้อมระดับโลก ไม่ว่าในแง่การเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคมก็ตาม ซึ่งมันค่อนข้างไหลไปตามทิศทางที่ “ท่านพุทธทาสฯ”ท่านได้บอกกล่าวไว้ล่วงหน้านั่นแหละว่า... “ศีลธรรมไม่กลับมา-โลกาจะวินาศ”อะไรประมาณนั้น...

                                                                                (4)

การหาทางทำให้ “สภาวะแวดล้อม”เอื้ออำนวยกับการฟื้นฟูธรรมะ หรือศีลธรรม มันเลยไม่ต่างอะไรไปจากการหาทางกำหนดระยะความสัมพันธ์ของตัวเอง ของสังคมนั้นๆ กับความเป็นไปในโลกนั่นเอง คือถ้าหากจะ “ไหลไปตามโลก”ในทุกๆเรื่องทุกๆกรณีไป โอกาสที่จะต้อง “วินาศไปตามโลก”ย่อมเป็นไปได้ยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ครั้นจะ “ฝืนโลก”หรือ “ขวางโลก”อาจหนีไม่พ้นต้องลากประเทศทั้งประเทศ ให้กลับไปอยู่ในถ้ำ ในรู กลายเป็นฤาษี ชีไพร เป็น “ประเทศฤาษี” อย่างประเทศเพื่อนบ้าน เช่น“พม่า”เคยเป็น หรือ “เกาหลีเหนือ”ที่ยังคงเป็นอยู่ ซึ่งไม่ถือเป็นการ “อนุวัตรไปตามโลก”ได้อย่างสอดคล้อง เหมาะสม และไม่น่าจะถูกเรื่อง ถูกราว ซักเท่าไหร่...

                                                                                 (5)

การกำหนดระยะห่าง ระยะเคียง ว่าอะไรควรจะเป็นไปตามโลก และอะไรที่ควรจะฝืนๆเอาไว้มั่ง อันนี้นี่แหละ...ที่ถือเป็นสุดยอดปรารถนา หรือ “สุดยอดยุทธศาสตร์” ที่จะช่วยให้ “สภาวะแวดล้อม”ของประเทศ ของสังคม มันเอื้ออำนวยต่อการฟื้นฟูธรรมะและศีลธรรม ให้หวนคืนกลับมา โดยไม่ต้องให้“พระ”ท่านออกเรี่ยว ออกแรง จนเมื่อยปาก หรือปากฉีกถึงรูหู มากมายเกินไปนัก ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดระยะห่าง ระยะเคียง ในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ไปจนถึงทางเทคโนโลยีทั้งหลาย การมองหาแนวทางการเมือง การปกครอง ที่ไม่ว่าจะเรียกว่า “ระบบ”หรือ “ระบอบ”อะไรก็แล้วแต่ แต่ขอให้มี “ธรรมะ”เป็นพื้นฐานรองรับ หรือเป็นตัวกำกับระบบและระบอบนั้นๆเอาไว้ด้วย อันนี้...ต้องเรียกว่า ตามหากันมาเกือบ 80-90 ปี หรือเกือบจะครบศตวรรษเข้าไปแล้ว สำหรับบ้านเรา แต่ก็ยังคง “ไม่ไปไหน”ซักกะที...

                                                                                  (6)

ไม่ต่างอะไรไปจากแนวทางเศรษฐกิจ...ไม่ว่าจะทุนนิยม สังคมนิยม ตลาดเสรี-ไม่เสรี สำคัญที่สุด...มีแต่ต้องตั้งอยู่ใน “ความพอเพียง”นั่นแหละ มันถึงจะมี “ธรรมะ”เข้าไปเจือปนอยู่ด้วย มีเหตุ มีผล มีความพอประมาณเป็นพื้นฐาน ดังที่ “กษัตริย์ผู้ทรงธรรม”ท่านได้ชี้แนะ ชี้นำเอาไว้ก่อนหน้านี้ เกือบจะครึ่งๆศตวรรษเห็นจะได้ แต่ยังไม่ถึงกับเป็นจริง-เป็นจังในเชิงปฏิบัติจนตราบเท่าทุกวันนี้ เช่นเดียวกับ สังคม ที่อาจไม่ถึงกับต้อง “ย้อนยุค”ไปใส่กางเกงหูรูด ใส่ผ้านุ่ง จงกระเบน ห่มสไบ ออกมาโหนรถเมล์ไปเที่ยววัดไชยวัฒนารามเอาเลยก็ยังได้ แต่ขอเพียงแค่ย้อนกลับไปทบทวนอารมณ์ ความรู้สึก จิตสำนึก ทัศนะคติ ในสิ่งที่มันเคยก่อให้เกิดความ “อยู่-เย็น-เป็นสุข”ในยุคคนรุ่นพ่อ รุ่นแม่ รุ่นปู่-ย่า-ตา-ทวด หรือจะไปถึงยุค“พี่ขุนหมื่น”กับ “แม่นางการะเกด”ก็คงไม่ถึงกับ “โอเวอร์”อะไรมากมาย ถ้าหากมันเป็นการย้อนกลับไปสู่ “เนื้อหา”ไม่ใช่แค่เฉพาะ “รูปแบบ”...

                                                                                    (7)

เหมือนอย่างที่นักคิด นักวิชาการ นักพัฒนาชาวสวีเดน ผู้มีชื่อว่า “เฮเลนา นอร์เบอร์ก-ฮอดซ์” (Helena Norberg-Hodge)ผู้อำนวยการองค์กรระหว่างประเทศ “International Society for Ecology and Culture(ISEC)ที่ได้ชื่อว่าก้าวหน้าสุดๆ เป็นลิเบอรัลฉบับของจริง-ของแท้ ไม่ใช่แค่ “ลิเบอร่าน” เธอเคยได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง “Ancient Future”ที่มีการนำมาแปลเผยแพร่ในบ้านเรา ในชื่อว่า “อนาคตอันเก่าแก่”เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วว่า คือการย้อนกลับไปนำเอาสิ่งดีๆ สิ่งที่มีประโยชน์ สิ่งที่มีคุณค่าทั้งหลายในอดีต มาใช้เป็นแนวทางสำหรับอนาคตเบื้องหน้า ได้อย่างรู้จักจำแนกแยกแยะ อย่างชาญฉลาด อย่างรู้เท่าทันความเป็นไปของโลกและตัวเรา ไม่ว่าจะในแง่การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา ไปจนถึงเทคโนโลยีที่เหมาะสม ไม่เหมาะสม กับความเป็นไปของสังคมตัวเอง ใครก็ตาม...ไม่ว่าบุคคล กลุ่มก้อน องค์กร หรือกระทั่งพรรคการเมือง ถ้าสามารถดลบันดาลให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ ด้วย “อนาคตอันเก่าแก่”ที่ว่านี้ ย่อมมีส่วนช่วยสร้าง “สภาวะแวดล้อม”อันจะทำให้ศีลธรรมกลับคืนมาได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ โดยไม่ต้องโยนบาปไปให้ “พระ”ท่าน ในทุกเรื่อง ทุกราว...


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"