'เขมทัตต์'ร่อนแถลงการณ์ชี้แจงความจริงการแบ่งเงินเยียวยาคลื่น 2600 MHz


เพิ่มเพื่อน    


11 มิ.ย. 2563 นายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) ออกแถลงการณ์ ชี้แจงเบื้องหลังที่มา การพิจารณาเรียกเงินเยียวยาคลื่น  2600 MHz โดยมีใจความว่า  ตามที่   ได้มีการนำเสนอข่าวพาดพิงถึงผู้บริหารระดับสูงของ บมจ. อสมท  ซึ่งหมายถึง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. อสมท   ว่าไม่ได้รักษาผลประโยชน์ให้ บมจ. อสมท อย่างเต็มที่ในกรณีการเยียวยาการเรียกคืนคลื่นความถี่ของ บมจ. อสมท จนทำให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจผิด และเกิดเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อองค์กร    โดยผู้บริหารระดับสูงของ บมจ. อสมท ได้ทำหนังสือถึง กสทช. เรียกเงินเยียวยาจากการถูก กสทช. เรียกคืนคลื่นความถี่ในย่านความถี่ 2600 MHz ในจำนวนที่เท่ากับบริษัทเอกชนคู่สัญญา   โดยมองว่า บมจ. อสมท ควรจะได้รับเงินเยียวยาที่มากกว่านี้ ทำให้ บมจ. อสมท ได้รับความเสียหาย จนกระทั่งสหภาพแรงงาน บมจ. อสมท ต้องออกมาเคลื่อนไหวร้องเรียนให้มีการตรวจสอบผู้บริหารระดับสูงของ บมจ. อสมท   และต่อมา ยังได้ปรากฎข่าวที่ไม่มีมูลความจริงเผยแพร่ทั่วไปอีกว่า รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแล บมจ. อสมท ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้เข้ามาตรวจสอบในเรื่องนี้ด้วย 

เพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิดและทำให้สาธารณชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง  ไม่ใช่ได้รับข่าวสารอันเป็นเท็จที่มุ่งจะทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่ดีของ บมจ. อสมท  ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ และบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย    ในนามของ บมจ. อสมท จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น รวมทั้ง ข้อกฎหมายต่างๆ  ที่เกี่ยวข้องในการที่ บมจ. อสมท ถูกเรียกคืนคลื่นความถี่ในย่าน 2600 MHz จนนำมาซึ่งการจะต้องได้รับการเยียวยาจาก กสทช. จากการที่ถูกเรียกคืนคลื่นความถี่    ดังต่อไปนี้ 

จุดเริ่มต้น  จากการที่ บมจ.  อสมท เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ในย่าน 2600 MHz อย่างถูกต้องจากกรมไปรษณีย์โทรเลข   ซึ่งต่อมา บมจ. อสมท ได้นำคลื่นความถี่ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานดังกล่าว ไปใช้ในการดำเนินธุรกิจโทรทัศน์ประเภทบอกรับสมาชิกร่วมกับบริษัทเอกชน   โดยมีเงื่อนไขให้บริษัทเอกชนเป็นผู้ลงทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทั้งหมดเพียงฝ่ายเดียว  บมจ. อสมท ไม่ต้องลงทุนออกค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น   แต่จะได้รับส่วนแบ่งรายได้ที่แน่นอนจากการดำเนินการร่วมกันตลอดระยะเวลาของสัญญา   ไม่ต้องรับผิดชอบความเสี่ยงจากการขาดทุนใดๆ ทั้งสิ้น บริษัทเอกชนคู่สัญญาจะเป็นผู้รับความเสี่ยงทั้งหมดเพียงฝ่ายเดียว   โดยได้มีการทำสัญญาร่วมดำเนินงานกับบริษัทเอกชน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นมา แต่ปรากฏว่าภายหลังจากการทำสัญญาร่วมดำเนินงานแล้ว บมจ. อสมท ไม่สามารถเริ่มต้นดำเนินธุรกิจโทรทัศน์ประเภทบอกรับสมาชิกได้  อันเนื่องมาจากเมื่อมีกฎหมายจัดตั้ง กสทช. ขึ้นภายหลังในปี พ.ศ. 2554   และ กสทช. ได้เข้ามาทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแทนหน่วยงานที่รับผิดชอบเดิม ซึ่งผลจากการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและการเปลี่ยนแปลงอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลกิจการโทรทัศน์มาเป็น กสทช. ทำให้เกิดข้อขัดข้องหลายครั้งในการ   ขออนุญาต กสทช. เพื่อจะดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ  ในการขออนุญาตเปิดให้บริการโทรทัศน์ประเภทบอกรับสมาชิก      จนทำให้ บมจ. อสมท ต้องร้องอุทธรณ์ขอให้ กสทช. พิจารณาทบทวนด้วยความเป็นธรรมหลายครั้ง    ท้ายที่สุดจึงได้รับอนุญาตจาก กสทช.  ให้สามารถเปิดให้บริการโทรทัศน์ประเภทบอกรับสมาชิกได้ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2562    ซึ่งการดำเนินการขออนุญาต กสทช. ตามขั้นตอนต่างๆใช้เวลานานร่วม 10 ปี   ขณะที่การขออนุญาตทำนองเดียวกันโดยผู้ขออนุญาตรายอื่น   กสทช. ได้อนุญาตในระยะเวลาอันสั้น  ทำให้การดำเนินธุรกิจของ บมจ. อสมท และบริษัทเอกชนคู่สัญญา ต้องล่าช้าไปมาก ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและไม่ทันต่อความต้องการใช้บริการอย่างรวดเร็วของประชาชนผู้ใช้บริการ ส่งผลให้สร้างความเสียหายแก่ บมจ. อสมท และบริษัทเอกชนคู่สัญญาเป็นจำนวนมาก ทั้งมูลค่าเงินที่สูญเปล่าไปในการลงทุนและมูลค่าการเสียโอกาสทางธุรกิจจากความล่าช้า 

แต่ทว่า เมื่อ บมจ. อสมท สามารถเริ่มต้นดำเนินธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิกได้ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2562 แล้ว     บมจ. อสมท จึงได้รับแจ้งจาก กสทช ว่าต้องการจะเรียกคืนคลื่นความถี่ในย่าน2600 MHZ จาก บมจ. อสมท   เพื่อจะนำไปประมูลคลื่นความถี่ใช้ในกิจการโทรคมนาคมสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 5G โดยจะพิจารณาจ่ายค่าชดใช้และค่าตอบแทนการเสียโอกาสจากการถูกเรียกคืนคลื่นความถี่ให้แก่ บมจ.  อสมท และบริษัทเอกชนคู่สัญญา พร้อมขอให้ บมจ. อสมท และบริษัทเอกชนคู่สัญญาได้ให้ความยินยอมคืนคลื่นความถี่เพื่อประโยชน์ แก่ส่วนรวม บมจ. อสมท และบริษัทเอกชนคู่สัญญา ได้พิจารณาร่วมกันแล้วเห็นว่า การคืนคลื่นความถี่ เพื่อนำ    ไปประมูลใช้ในกิจการโทรคมนาคมสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 5G  จะก่อให้เกิดประโยชน์โดยส่วนรวมแก่ประเทศชาติและเศรษฐกิจของประเทศมากยิ่งขึ้น   จึงได้มีหนังสือแจ้งยินยอมคืนคลื่นความถี่ในย่าน 2600 MHz และขอให้  กสทช. ได้พิจารณาจ่ายค่าชดใช้และค่าตอบแทนการเสียโอกาสจากการถูกเรียกคืนคลื่นความถี่ด้วยความเป็นธรรม    กสทช.  จึงได้นำคลื่นความถี่ที่ได้เรียกคืนนี้ไปประมูล และมีผู้ประกอบการกิจการโทรคมนาคมได้ประมูลคลื่นความถี่นี้ไปใช้งานจนหมด ได้เงินจากการประมูลคลื่นความถี่ทั้งหมดเป็นจำนวน 37,164  ล้านบาท ซึ่งตาม พรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 ที่แก้ไขเพิ่มเติมในปี พ.ศ.2560 ได้กำหนดให้สิทธิเป็นพิเศษแก่ กสทช. ที่จะไม่ต้องนำเงินที่ได้จากการประมูลคลื่นความถี่จากการเรียกคืนในครั้งนี้ส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ดังเช่นการประมูลคลื่นความถี่ทั่วไปที่ต้องส่งเงินจากการประมูลเป็นรายได้แผ่นดิน       โดย กสทช. สามารถเก็บเงินที่ได้จากการประมูลคลื่นความถี่ที่เรียกคืนไว้ได้เอง โดยให้ถือเป็นรายได้ของกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมของ กสทช. ซึ่งการประมูลคลื่นความถี่ในครั้งนี้ กสทช ได้ดำเนินการ เสร็จสิ้นไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2563  แล้ว   แต่จนกระทั่งบัดนี้ บมจ. อสมท และบริษัทเอกชนคู่สัญญา    ก็ยังมิได้รับเงินเยียวยาใดๆทั้งสิ้นจาก กสทช. 

เหตุที่ยังมิได้รับเงินเยียวยา   เนื่องจากการพิจารณาของ กสทช.  ในการกำหนดจำนวนเงินค่าชดใช้และค่าตอบแทนการเสียโอกาสจากการถูกเรียกคืนคลื่นความถี่เป็นไปด้วยความล่าช้า        ซึ่งในระหว่างการพิจารณาของ กสทช. ที่ล่าช้านี้   ได้มีการพยายามสร้างความเข้าใจผิดให้แก่ผู้ถือหุ้นของ บมจ. อสมท และประชาชนทั่วไปว่า   ฝ่ายบริหาร ซึ่งหมายถึงกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ของ บมจ. อสมท เป็นผู้ไม่รักษาผลประโยชน์ของ บมจ. อสมท   โดยทำหนังสือแจ้ง  กสทช.  ให้พิจารณากำหนดจำนวนสัดส่วนการชดใช้หรือจ่ายค่าตอบแทนในการถูกเรียก     คืนคลื่นความถี่ระหว่าง บมจ. อสมท กับบริษัท เพลย์เวิร์ค จำกัด ซึ่งเป็นคู่สัญญา ในจำนวนเท่าๆกันทั้งสองฝ่าย    ทั้งที่ บมจ. อสมท ควรจะได้รับส่วนแบ่งมากกว่าบริษัทเอกชนคู่สัญญา และมีการเรียกร้องจาก สหภาพแรงงาน  อสมท ให้มีการตรวจสอบเอาผิดแก่กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ที่ไม่รักษาผลประโยชน์ของ บมจ. อสมท  
การเสนอข่าวเช่นนี้เป็นการเสนอข่าวด้วยข้อเท็จจริงเพียงบางส่วน  ไม่นำเสนอข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้ครบถ้วนทั้งหมด  ซึ่งหากมีการเสนอข่าวด้วยข้อเท็จจริงทั้งหมดก็จะปรากฏความจริงว่า  กรรมการผู้อำนวยการใหญ่มิได้ดำเนินการใดๆที่เป็นการไม่รักษาผลประโยชน์ให้แก่ บมจ. อสมท โดยขอชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด  ดังนี้ 


1)    ในการกำหนดจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายชดใช้ และจ่ายค่าตอบแทนการเสียโอกาสจากการถูกเรียกคืน       คลื่นความถี่ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง   คือ   พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ และประกาศของ กสทช. ได้กำหนดให้เป็นหน้าที่ของ กสทช.       มิใช่ให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่ถูกเรียกคืนคลื่นที่จะกำหนดจำนวนเงินได้เอง  บมจ. อสมท ในฐานะเป็นผู้ที่ถูกเรียกคืนคลื่นความถี่   มีหน้าที่เพียงแจ้งข้อมูลรายละเอียดต่างๆของการลงทุนและการได้รับประโยชน์จากการใช้คลื่นความถี่ในทางธุรกิจให้ กสทช. ทราบเท่านั้น    เพื่อให้ กสทช. ได้นำข้อมูลที่แจ้งไปประกอบการพิจารณากำหนดการจ่ายเงินชดใช้และการจ่ายเงินค่าตอบแทนการเสียโอกาส       รวมทั้งหน้าที่ในการกำหนดสัดส่วนการจ่ายเงินชดใช้และการจ่ายเงินค่าทดแทน ระหว่าง บมจ.อสมท ผู้ถูกเรียกคืนคลื่นความถี่ กับ บริษัทเอกชนคู่สัญญา ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเรียกคืนคลื่นความถี่     ก็เป็นหน้าที่ของ กสทช. ในการกำหนดสัดส่วนด้วยเช่นกัน 

2)   ในการเยียวยา บมจ. อสมท และบริษัทเอกชนคู่สัญญา แบ่งการเยียวยาเป็น 2 ส่วน  คือ  “การจ่ายค่าชดใช้” และ “การจ่ายค่าตอบแทนการเสียโอกาสจากการถูกเรียกคืนคลื่นความถี่”  ซึ่งตามกฎหมายเพื่อให้ความเป็นธรรม จึงได้กำหนดให้ กสทช.  ต้องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ จำนวน  7 หน่วยงานมาเป็นผู้พิจารณากำหนดจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายชดใช้ และ จ่ายค่าตอบแทนการเสียโอกาส     ซึ่งอนุกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเป็นกลาง ไม่มีส่วนได้เสียในการพิจารณา    โดยที่กฎหมายยินยอมให้ กสทช. มีผู้แทน 1 คนร่วมเป็นอนุกรรมการในการพิจารณาด้วย     และนอกจากนี้  เพื่อความรอบคอบ กฎหมายยังกำหนด ให้ กสทช. ต้องว่าจ้างสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นของรัฐ จำนวน 3 แห่ง ทำการศึกษามูลค่าการเรียกคืนคลื่นความถี่และการทดแทน ชดใช้ และจ่ายค่าตอบแทนการเสียโอกาสจากการถูกเรียกคืนคลื่นความถี่    แล้วนำผลการศึกษาของทั้ง  3 สถาบันมาประกอบการพิจารณาของ กสทช    ซึ่งสุดท้าย กสทช. ได้เลือกผลการศึกษาของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพียงสถาบันเดียวมาประกอบการพิจารณา 

3)   เมื่อกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. อสมท ได้เข้าไปชี้แจง ในการประชุม กสทช.    เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563  ได้ทราบในการประชุมว่า   คณะอนุกรรมการจาก 7 หน่วยงานมีความเห็นเสนอต่อ กสทช. ว่า    ในการเยียวยาให้แก่ บมจ. อสมท และบริษัทเอกชนคู่สัญญา     ให้จ่ายเฉพาะส่วนค่าตอบแทนการเสียโอกาสจากการ  ถูกเรียกคืนคลื่นความถี่เพียงส่วนเดียวเท่านั้น   โดยไม่ต้องจ่ายในส่วนของการชดใช้ และในการแบ่งสัดส่วนการ จ่ายค่าตอบแทน ให้แบ่งในสัดส่วนเท่าๆกัน แต่ในส่วนผลการศึกษาของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความเห็นว่า ให้จ่ายค่าตอบแทนการถูกเรียกคืนคลื่นทั้งหมดโดยตรงต่อ บมจ. อสมท  โดยในส่วนของ บริษัท คู่สัญญาให้ได้รับ การจ่ายค่าตอบแทนจาก บมจ. อสมท ตามข้อตกลงทางธุรกิจที่ได้ทำไว้ร่วมกัน    ซึ่งความเห็นของคณะอนุกรรมการจาก 7 หน่วยงานและ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นความเห็นที่แตกต่างกัน

4)    กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. อสมท ได้รับแจ้งจาก กสทช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ว่า  บมจ. อสมท จะต้องทำหนังสือยืนยันว่ามีความต้องการจะให้แบ่งสัดส่วนการจ่ายค่าตอบแทนอย่างไร     ซึ่งเท่ากับว่าจะต้องเลือกตามความเห็นของคณะอนุกรรมการจาก  7  หน่วยงาน  หรือตามความเห็นของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งในการประชุมชี้แจงเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563  ดังกล่าว    กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. อสมท ได้แจ้งต่อ กสทช. ว่าขอให้ กสทช. เป็นผู้กำหนดส่วนแบ่งการจ่ายค่าตอบแทนเพราะเป็นหน้าที่ตามกฎหมายของ กสทช.   แต่ได้รับการยืนยันว่า    บมจ. อสมท จะต้องทำหนังสือเสนอการแบ่งสัดส่วนการจ่ายค่าตอบแทนมาให้ก่อน  กสทช. จึงจะพิจารณาให้      ทำให้กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. อสมท จำเป็นต้อง ทำหนังสือแจ้งยืนยันรายละเอียดและสัดส่วนการชดใช้ หรือจ่ายค่าตอบแทนในการเรียกคืนคลื่นความถี่ไปยัง กสทช.    ทั้งที่ได้มีความเห็นทักท้วงแล้วว่าเป็นหน้าที่ของ กสทช. ตามกฎหมาย ที่จะเป็นผู้กำหนดจำนวนเงินและสัดส่วนการจ่ายค่าตอบแทน ซึ่งต่อมา ได้มีการนำหนังสือแจ้งยืนยันดังกล่าวของกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. อสมท   ไปเผยแพร่ และมีการกล่าวหาว่ากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. อสมท ดำเนินการเรื่องนี้โดย   ไม่มีอำนาจหน้าที่ และทำให้ บมจ. อสมท ต้องเสียเปรียบต่อบริษัทเอกชนคู่สัญญา 

5)   เมื่อได้รับแจ้งว่าจำเป็นต้องทำหนังสือยืนยันการแบ่งสัดส่วนแล้ว     กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. อสมท 
จึงได้ทำหนังสือยืนยันต่อ กสทช.   มีใจความว่า      “สำหรับจำนวนสัดส่วนการชดใช้ หรือจ่ายค่าตอบแทนในการถูกเรียกคืนคลื่นความถี่ระหว่าง บมจ. อสมท กับ บริษัทคู่สัญญา ขอให้มีการพิจารณาแบ่งค่าตอบแทนดังกล่าวในจำนวนเท่าๆกันทั้งสองฝ่าย  ซึ่งจะทำให้ บมจ. อสมท ไม่เป็นการเสียเปรียบแต่อย่างใด”     การแจ้งยืนยันดังกล่าวมีเหตุผลในการพิจารณาตัดสินใจดังนี้ 

5.1)    เนื่องจากมีความเห็นเสนอต่อ  กสทช.   ให้พิจารณาทางเลือกในการจ่ายค่าตอบแทนเป็น  2  ทางเลือก ระหว่างความเห็นของคณะอนุกรรมการจาก  7  หน่วยงาน   ซึ่งมีความเห็นว่าไม่ต้องจ่ายค่าชดใช้    แต่ให้จ่ายเฉพาะค่าตอบแทนการเสียโอกาสและแบ่งสัดส่วนค่าตอบแทนการเสียโอกาสระหว่าง บมจ. อสมท กับ บริษัทเอกชนคู่สัญญาเท่ากัน  กับความเห็นของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   ซึ่งมีความเห็นว่า ให้จ่ายค่าตอบแทนการเสียโอกาสตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาทางธุรกิจฯ ที่ บมจ. อสมท  ได้ทำไว้กับบริษัทเอกชนคู่สัญญา    ซึ่งเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบทั้งสองความเห็นนี้แล้ว    เห็นว่า   ความเห็นของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย     จะทำให้    บมจ.  อสมท ได้รับเงินส่วนแบ่งที่น้อยกว่าเป็นการเสียเปรียบบริษัทเอกชนคู่สัญญา เพราะตามสัญญาที่ทำร่วมกัน 

ได้กำหนดให้ บมจ.  อสมท มีส่วนแบ่งรายได้จากรายได้รวมในอัตราร้อยละ 9  ด้วยเงื่อนไขที่กำหนดให้บริษัทเอกชนเป็นผู้ลงทุนและรับความเสี่ยงทั้งหมดในการดำเนินโครงการฯ และ บมจ. อสมท ไม่ต้องรับความเสี่ยงจากการขาดทุน   แต่ถึงแม้จะมีส่วนแบ่งที่น้อยกว่า  ก็ถือว่า เป็นรายได้ที่แน่นอนไม่มีความเสี่ยงจากการขาดทุน เพราะกำหนดส่วนแบ่งจากรายได้   มิใช่กำหนดส่วนแบ่งจากผลกำไรซึ่งไม่มีความแน่นอน แต่หากให้แบ่งสัดส่วนตามข้อตกลงในสัญญาแล้ว ก็จะทำให้ บมจ. อสมท ต้องได้รับส่วนแบ่งตามสัดส่วนที่กำหนดในสัญญา ซึ่งทำให้ได้รับเงินส่วนแบ่งเป็นจำนวนที่น้อยกว่า การเลือกส่วนแบ่งรายได้ตามความเห็นของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงทำให้ บมจ.  อสมท ได้รับเงินส่วนแบ่งที่น้อยกว่า

5.2)   ความเห็นของคณะอนุกรรมการจาก  7  หน่วยงานที่เสนอให้แบ่งสัดส่วนเท่าๆกัน   แต่ไม่ได้ให้จ่ายค่าชดใช้ เป็นความเห็นที่ทำให้ บมจ. อสมท ได้รับประโยชน์มากกว่า   คือได้รับเงินส่วนแบ่งเป็นจำนวนที่มากกว่า เพราะแม้จะแบ่งสัดส่วนในจำนวนที่เท่ากัน แต่ บมจ. อสมท ไม่มีภาระในการจ่ายเงินลงทุน     ทำให้ยังเหลือเงินส่วนแบ่งที่ได้รับเต็มจำนวน   ขณะที่บริษัทคู่สัญญา มีภาระที่จ่ายเงินลงทุนไป เมื่อหักกลบเงินที่ลงทุนไปแล้ว   จึงทำให้ได้รับเงินส่วนแบ่งไม่เต็มจำนวน และมีจำนวนน้อยกว่าที่ บมจ.  อสมท ได้รับ และที่สำคัญ บมจ. อสมท ยังมีข้อผูกพันตามสัญญากับบริษัทเอกชนคู่สัญญา   จึงไม่สามารถเป็นผู้กำหนดสัดส่วนการแบ่งเงินรายได้ที่ได้รับจากการเยียวยาได้ตามใจชอบ ต้องเป็นไปในกรอบของสัญญาด้วย 

5.3)   ด้วยเหตุผลดังกล่าว   จึงยืนยันให้ กสทช. พิจารณากำหนดแบ่งค่าตอบแทนในจำนวนเท่าๆ กัน ซึ่งเป็นไปตามความเห็นของคณะอนุกรรมการจาก 7 หน่วยงานที่เสนอต่อ กสทช. จึงเป็นประโยชน์ต่อ  บมจ.  อสมท   มากกว่า  มิได้ทำให้ บมจ. อสมท เสียเปรียบต่อบริษัทเอกชนคู่สัญญาตามที่มีการกล่าวหาแต่ประการใด   
การดำเนินการดังกล่าว  ก็เพื่อส่งผลให้องค์กรซึ่งรอรับเงินเยียวยาชดเชยที่ล่าช้ามานาน ได้รับมติที่เสร็จสิ้นโดยเร็ว    อันเป็นประโยชน์ของผู้ถือหุ้นอย่างแท้จริง 

สำหรับขั้นตอนต่อไปจากนี้    บมจ. อสมท  จักต้องรอเอกสารอย่างเป็นทางการจากสำนักงาน กสทช.   เพื่อจะพิจารณารายละเอียดอื่นๆที่จะตามมา  เช่น   ระยะเวลาของการเบิกจ่ายค่าเยียวยา และอื่นๆ 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"