37 วันต่อเนื่องแล้วที่ประเทศไทยไม่มีผู้ติดเชื้อภายในประเทศ โดยล่าสุดเมื่อวันพุธแม้มีผู้ป่วยรายใหม่ 2 ราย ก็เป็นผู้ป่วยในสถานกักตัวของรัฐ ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมทั้งสิ้น 3,173 ราย และเสียชีวิตคงที่ 58 ราย ในขณะที่ผู้ป่วยก็กลับบ้านเพิ่มได้อีก 3 ราย คงเหลือรักษาตัวเพียง 56 ราย ซึ่งทั้งหมดก็เป็นคนไข้ที่ติดเชื้อจากการเดินทางมาจากต่างประเทศทั้งหมดทั้งมวล ...๐

ช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหวในจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลก เพราะยังพุ่งแบบฉุดไม่อยู่ในระดับเกินแสนรายต่อวัน โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวเลขเพิ่มในระดับวันละ 3-4 หมื่น ทำให้ล่าสุด “นพ.แอนโธนี เฟาซี” ผู้อำนวยการสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐ และเป็นหัวหน้าคณะทำงานเฉพาะกิจด้านการควบคุมโควิด-19 ของทำเนียบขาวก็ออกมาบอกเองว่า หากยังไม่สามารถควบคุมผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้ ก็มีแนวโน้มว่า “ดินแดนมะกัน” อาจมีผู้ติดเชื้อกระฉูดถึงวันละมากกว่า 1 แสน ราย!! !...๐

”พระเจ้าจอร์จ เล่นเอาหนังฮอลีวูด โดยเฉพาะแนว “ซอมบี้” กลายเป็นจริงขึ้นมาแล้วจากผลพวงของไวรัสมรณะโควิด-19 และที่น่าเป็นห่วงเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อได้พบไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่ หรือ ไข้หวัดหมู G4 ที่เริ่มในจีน (อีกแล้ว) มาสู่คน ซึ่งเราก็ได้แต่หวังว่าจะไม่ลามจากคนสู่คน จนมาเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดให้สถานการณ์โควิด-19 ทำโลกให้ล่มจมแบบไม่ฟื้นกันไปอีก ...๐

พูดถึง “โควิด-19” ไม่เอ่ยถึงพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินก็ไม่ได้ ซึ่งพรรคฝ่ายค้านและฝ่ายแค้นรัฐบาลต่างพยายามเรียกร้องให้ยก พ.ร.ก.ดังกล่าว โดยอ้างเรื่องสิทธิและการลิดรอนทั้งหลายแหล่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่า “ฝ่ายแค้น-ฝ่ายค้าน” ดังกล่าวจะแกล้งโง่ หรือไม่สนใจชาวบ้านร้านถิ่น เอาแต่ความสะใจทางการเมือง การประท้วงกันแน่ เพราะตอนนี้ที่มี พ.ร.ก.อยู่จึงทำให้การรักษาตัวและการกักตัวคนไทยในสถานกักกันโรคของรัฐ 14 วันไม่ต้องเสียเงินซักบาท แต่หากยกเลิก พ.ร.ก.ไปแล้ว ส่วนต่างๆ เหล่านี้ประชาชีต้องรับผิดชอบกันเอง ก็อยากถามไปยังฝ่ายค้าน และบรรดาเอ็นจีโอหน้าเดิมทั้งหลายว่า จะควักเงินช่วยเหลือเจือจานอย่างไรบ้างจ๊ะ เพราะค่ากักตัว 14 วันก็ตกราว 6-7 หมื่นต่อคน ในขณะที่ค่ารักษานั้นก็อยู่ที่กว่า 1 ล้านบาทต่อราย ...๐

หันจากเรื่องโรคมาดูในเรื่องการเมืองและการเงินการคลังกันบ้าง เมื่อสภาผู้แทนราษฎรมีการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 วงเงิน 3.3 ล้านล้านบาท ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนอ ซึ่งต้องเรียกว่าเป็นหนังม้วนเดิมไม่ต่างจากเมื่อคราวพิจารณา พ.ร.ก.เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท รวมทั้งกฎหมายการโอนงบประมาณปี 2563 แต่ประการใด เพราะเล่นสำนวนโวหารกันถ่ายเดียว โดยเป็นการคิดประดิดประดอยคำแข่งขันระหว่างพรรคเพื่อไทย โดย ”น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ” ส.ส.กทม. และเลขาธิการพรรค พท. ที่ได้ตั้งฉายา “บิ๊กตู่” ว่า “บิดาแห่งความเหลื่อมล้ำ ผู้นำแห่งการก่อหนี้” จากเมื่อครั้น พ.ร.ก.เงินกู้ก็ได้ให้ฉายาไปแล้วว่า “นักกู้แห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา” ...๐

ไม่ต่างจากเจ้าของทฤษฎีกระดุม 5 เม็ดอย่าง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่หลังจากชำแหละงบประมาณได้ระยะหนึ่ง ก็ใช้วลีว่า “มหาประยุทธ์ตภัย” เพื่อหวังใช้ในทางการตลาดการเมืองกับเขาไม่ต่างกัน และเชื่อว่าในอีกระยะ 2 วันที่เหลือในการพิจารณากฎหมายดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ รวมทั้งรัฐบาลคงได้รับฉายากันเป็นกระบุงโกยทีเดียว ...๐

ส่วนที่ฉายาไม่เยอะ “อดีตนายกฯ แคตวอล์ก” แต่ดูเหมือนชนักติดหลังหนักหนาสาหัสไม่แพ้พี่ชาย อย่าง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เพราะล่าสุด ป.ป.ช.ก็ได้มีมติชี้มูลความผิดอาญากรณีการเด้ง “ถวิล เปลี่ยนศรี” พ้นเลขาฯ สมช.ไปนั่งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ เพื่อแผ้วทางให้ “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” เครือญาติขึ้น “ผบ.ตร.” และที่บอกช่างเหมือน “สัมภเวสี” ยิ่งกว่าเคาะจากบล็อกเดียวกัน เพราะการเด้งดังกล่าวก็เกิดในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ เหมือนกับที่พี่เหลี่ยมที่เคยให้วันที่ 31 ธ.ค.ไม่เป็นหยุด ให้เปิดเป็นวันทำการ เพื่อให้เกิดการโอนธุรกรรมที่ดินได้อย่างไรอย่างนั้น เรียกว่าคลานตามกันมาเสียจริงในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ...๐

ทิ้งท้ายด้วยข่าวดีของ “สิระ เจนจาคะ” ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 : 1 ว่าไม่สิ้นสภาพการเป็น ส.ส. จากกรณีภาพข่าวความกร่างในลงพื้นที่ภูเก็ต ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่าเมื่อศาลมีคำวินิจฉัยดังกล่าวก็จะทำให้เยี่ยงอย่างในการเช็กบิลบรรดา ส.ส.กว่า 50 รายที่ลงชื่อเรื่องดังกล่าว โดยบอกว่าไม่ใช่การจองเวรจองกรรม แต่เป็นการทำให้เป็นตัวอย่างไม่ให้ไปทำกับรายอื่น ก็หวังว่า “สิระ” จะจัดจริง ไม่ใช่กลายเป็น “มวยล้มต้มคนดู” นะจ๊ะ ...๐