ทูตรัสเซียเตือน ถล่มซีเรียจุดชนวนสงคราม 2 ชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์


เพิ่มเพื่อน    

ชาติมหาอำนาจตะวันตกกำลังใคร่ครวญทางเลือกในการตอบโต้รัฐบาลซีเรีย "โดนัลด์ ทรัมป์" ยังรอหารือผู้นำอังกฤษและฝรั่งเศส ขณะทูตรัสเซียเตือน ปฏิบัติการทางทหารโจมตีซีเรียอาจจุดชนวนสงครามระหว่างสหรัฐกับรัสเซียได้

วาสซิลี เนเบนเซีย เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำองค์การสหประชาชาติ กล่าวระหว่างประชุมคณะมนตรีความมั่นคงเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2561 / AFP

    เอเอฟพีรายงานว่า กำลังมีความพยายามจากนานาชาติเพื่อป้องกันความขัดแย้งบานปลายเป็นสงครามระหว่างชาติมหาอำนาจ โดยในวันศุกร์ที่ 13 เมษายน 2561 ตามเวลานครนิวยอร์ก คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้นัดประชุมชาติสมาชิกอีกครั้งตามคำร้องขอของรัสเซีย เพื่อพยายามคลี่คลายการคุมเชิงกันระหว่างชาติมหาอำนาจตะวันตกกับรัสเซีย ที่หนุนหลังรัฐบาลซีเรียของบาชาร์ อัลอัสซาด
    ขณะเดียวกัน ดูเหมือนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ผ่อนคลายท่าทีขึงขังที่ขู่จะถล่มซีเรียอย่างปัจจุบันทันด่วนลง หลังจากเมื่อหลายวันก่อนผู้นำสหรัฐมือไวรายนี้ทวีตข้อความขู่ให้รัสเซียเตรียมพร้อมรับการยิงมิสไซล์โจมตีซีเรีย
    ซาราห์ แซนเดอร์ส เลขาธิการฝ่ายสื่อของทำเนียบขาว กล่าวภายหลังทรัมป์ประชุมอย่างคร่ำเคร่งกับที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติเมื่อวันพฤหัสบดี ว่ารัฐบาลสหรัฐยังไม่ตัดสินใจว่าจะตอบโต้การโจมตีด้วยอาวุธเคมีในซีเรียเมื่อสัปดาห์ที่แล้วอย่างไร และทรัมป์จะหารือกับประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส และนายกฯ เทเรซา เมย์ ของอังกฤษ
    รัฐบาลสหรัฐ, ฝรั่งเศส และอังกฤษ ต่างกล่าวโทษรัฐบาลอัสซาดว่าอยู่เบื้องหลังการใช้อาวุธเคมีโจมตีเมืองดูมา ซึ่งอยู่ในความควบคุมของกบฏซีเรีย โดยอังกฤษประเมินว่าคร่าชีวิตคนถึง 75 คนเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว ทำเนียบขาวแถลงในเวลาต่อมาด้วยว่า ทรัมป์และเมย์ได้พูดคุยกันทางโทรศัพท์และเห็นพ้องว่าพวกเขาจะหารือกันต่อไปถึงความจำเป็นที่ต้องดำเนินการตอบโต้ร่วมกัน
    โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีอังกฤษเสริมว่า ทรัมป์และเมย์เห็นพ้องกันว่า สำคัญมากที่การใช้อาวุธเคมีจะต้องไม่ถูกปล่อยผ่านไปโดยไม่เผชิญการท้าทายใดๆ และจำเป็นที่ต้องขัดขวางไม่ให้รัฐบาลอัสซาดใช้อาวุธเคมีอีก
    ส่วนที่ฝรั่งเศส มาครงให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ว่า เขามีข้อพิสูจน์ได้ว่ารัฐบาลอัสซาดใช้อาวุธเคมี และปฏิญาณว่าฝรั่งเศสจะตอบโต้เมื่อถึงเวลาสมควร แต่เวลาเดียวกัน มาครงยังระมัดระวังไม่ให้สถานการณ์บานปลายเป็นสงคราม

เรือพิฆาตติดมิสไซล์นำวิถี ยูเอสเอสโดนัลด์คุก ของสหรัฐ เตรียมออกจากท่าเรือลาร์นากาของไซปรัส เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2561 ภาพ กองทัพเรือสหรัฐ / AFP

    นับแต่วันเสาร์ที่แล้วที่ภาพของเด็กทารกตัวซีดเผือดหายใจติดขัดด้วยอาการคล้ายได้รับก๊าซพิษเผยแพร่ไปทั่วโลก ชาติตะวันตกได้ระดมยุทโธปกรณ์มายังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทั้งเรือฟริเกตของฝรั่งเศส เรือดำน้ำของอังกฤษ และเรือพิฆาตติดตั้งโทมาฮอว์กของสหรัฐ เคลื่อนมาอยู่ในพิสัยโจมตีชายฝั่งของซีเรียได้แล้ว
    เมื่อวันพฤหัสบดี วาสซิลี เนเบนเซีย ทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติเตือนว่า การโจมตีซีเรียอาจนำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจที่มีอาวุธนิวเคลียร์ "สิ่งสำคัญอันดับแรกในตอนนี้คือการหลีกเลี่ยงอันตรายของสงคราม"
    เมื่อวันศุกร์ เซอร์เกย์ ลัฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย กล่าวเตือนไว้ว่า หากโลกตะวันตกเข้าแทรกแซงในซีเรีย อาจก่อให้เกิดคลื่นผู้อพยพระลอกใหม่เข้าสู่ยุโรป ทั้งยังย้อนด้วยว่า คำกล่าวอ้างเรื่องอาวุธเคมีนั้นเป็นเรื่องหลอกลวงที่สายลับของประเทศที่เป็นปรปักษ์กับรัสเซียสร้างเรื่องขึ้น
    คณะผู้ตรวจสอบขององค์การห้ามอาวุธเคมี (โอพีซีดับเบิลยู) น่าจะเดินทางถึงซีเรียสุดสัปดาห์นี้ เพื่อสอบสวนตามคำเชิญของรัฐบาลอัสซาด ท่ามกลางความวิตกของพวกนักการทูตว่าพวกเขาอาจถูกจับเป็นตัวประกันหรือโล่มนุษย์

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"