ว่าด้วยการนิรโทษกรรม


เพิ่มเพื่อน    

 

                                                       (1)

            หลังๆ มานี้...ดูเหมือนว่าใครต่อใครในบ้านเรา ค่อนข้างที่จะ กล้า ในการออกมานำเสนอ ชี้แนะ ชี้นำ หรือกระทั่งเรียกร้องให้ นิรโทษกรรม เพื่อให้เกิดการปรองดอง ในหมู่ผู้ที่เคยมีความขัดแย้งทางการเมือง ทางความคิด ความเห็น จนก่อให้เกิดการแยกกลุ่ม แยกฝ่าย เป็นฝ่ายเหลือง ฝ่ายแดง มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่แล้ว อย่างชนิดเป็นเรื่อง เป็นราว หรือเอาเรื่อง เอาราว อยู่ตามสมควร...

                                                          (2)

                เหตุที่ต้องใช้คำว่า กล้า ด้วยเหตุเพราะก่อนหน้านั้น...ใครก็ตามที่ออกมาพูด ออกมาเอ่ย คำว่า นิรโทษกรรม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผล กลใด ก็แล้วแต่ มักต้องเจอกับฉากสถานการณ์ ทัวร์ลง จนต้องรีบหุบปาก ปิดปาก ไม่ก็ปิดเว็บหนี กันไปเป็นแถบๆ แต่สำหรับช่วงระยะนี้ บรรดา ทัวร์ ในแต่ละสาย อาจหันไปท่องเที่ยว เดินทาง หันไปสนใจอยู่กับเรื่องอื่นๆ ประเภทเรื่อง ส่องผี อะไรทำนองนั้น หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ การออกมาแสดงความกล้า ในการชี้แนะ ชี้นำ ให้เกิดการ นิรโทษกรรม เพื่อนำไปสู่การสลายความขัดแย้ง แตกต่าง ระหว่างคนไทยด้วยกัน จึงออกจะเป็นเรื่อง เป็นราว และได้เรื่อง ได้ราว ไม่น้อยทีเดียว...

                                                       (3)

                โดยสำหรับ อันตัวข้าพเจ้าเอง...ก็คงไม่คิดจะปฏิเสธ หรือออกจะ เห็นควรด้วย มาตั้งแต่แรก ด้วยเหตุเพราะ คนไทยด้วยกัน ที่ว่านั้น ส่วนใหญ่...ก็มักจะเป็น เพื่อน-พ้อง-น้อง-พี่ เป็นผู้ที่เคยรู้จัก มักคุ้น กันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเหลือง ฝ่ายแดง ฝ่ายน้ำเงิน ฝ่ายเขียว ไปจนถึงฝ่ายสารพัดสี ประเภทที่เรียกๆ กันว่า สลิ่ม อะไรทำนองนั้น เพราะเมื่อมีอันได้เห็นไม่ว่าฝ่ายไหน สีไหน ก็แล้วแต่ ต้องเดินคอตกเข้าคุกทั้งที่แก่แสนแก่ ต้องขึ้นโรง ขึ้นศาล ชนิดรองเท้าคู่แล้ว คู่เล่า สึกแล้ว สึกเล่า หรือถูกสั่งให้ใช้หนี้ ใช้ดอกเบี้ย ทั้งๆ ที่วันๆ ก็แทบไม่มีจะ แ-ก ฯลฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่แหละ เลยทำให้อดที่จะสลดหดหู่ อดที่จะรู้สึกเห็นอก เห็นใจ ประดาใครต่อใครเหล่านั้น ไม่ว่าจะมีมุมมอง ทัศนคติ แตกต่างกันไปในลักษณะไหนก็ตาม...

                                                       (4)

                ยิ่งช่วงล่าสุด...ที่ได้เห็น หรือได้ข่าวคราว ว่าผู้ที่เคยรู้จัก มักคุ้น เคยถือเป็นพี่ เป็นเชื้อ อย่างคุณพี่ วีระ มุสิกพงศ์ ดันมีอันต้องเข้าคุก ทั้งๆ ที่อายุ-อานาม ปาเข้าไประดับไม้ใกล้ฝั่งเต็มที อะไรที่เคยทำให้พี่แกต้องมีอัน ของขึ้น ก็เลยไม่อยากจะคิด อยากจะลืมๆ หรืออยากให้เป็นอะไรที่ไม่ต้องเสียเวลามา รกสมอง กันอีกต่อไป เพราะภาพของความรู้จัก มักคุ้น ภาพของสิ่งดีๆ ความรู้สึกดีๆ เท่าที่เคยมีต่อกันและกันมาในอดีต มันน่าจะเป็นภาพที่ควรเก็บรักษาไว้ในสมอง ในอารมณ์-ความรู้สึกกันแทนที่ เนื่องจากสุดท้ายแล้ว...สิ่งดีๆ เหล่านั้น หรือสิ่งที่เป็นเรื่องของ ชีวิต เรื่องของ ความเป็นมนุษย์ นั้น น่าจะเป็นอะไรที่มีคุณค่า ราคา ซะยิ่งกว่าสิ่งที่เรียกๆ กันว่า การเมือง ไม่รู้กี่เท่า ต่อกี่เท่า...

                                                     (5)

                คือภายใต้ความมีชีวิต หรือความเป็นมนุษย์นั้น...ย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลง ยกระดับ พัฒนา ขึ้นๆ-ลงๆ ไม่ได้มีอะไร ตายตัว เหมือนอย่างเรื่องการเมือง ที่มักสร้าง กรอบ กักขังใครต่อใครเอาไว้เป็นแท่งๆ ด้ามๆ เป็นทฤษฎีนั้น เป็นทฤษฎีนี้ เป็นฝ่ายโน้น ฝ่ายนี้ ที่ถ้าหากดัน ของขึ้น ไปตามทฤษฎี หรือตามกรอบต่างๆ จนอาจลืมคิดถึงความมีชีวิต หรือความเป็นมนุษย์ ขึ้นมาเมื่อไหร่แล้วล่ะก็ โอกาสที่จะซัดส่ายไป-มา สวิงไปทางด้านนั้น ด้านนี้ ย่อมถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่บรรดาผู้ที่เคยคลุกคลีกับแวดวงการเมืองทั้งหลาย ต่างต้องแลกมาด้วยความเจ็บ ความปวด รวดร้าว ทรมาน ไปด้วยกันทั้งสิ้น จนกว่าที่ วุฒิภาวะ จะชักนำให้ต้องย้อนกลับมาสู่เรื่องของชีวิต หรือเรื่องของความเป็นมนุษย์กันอีกจนได้...

                                                      (6)

                และท่ามกลางการแบ่งกลุ่ม แบ่งฝ่าย แบ่งข้างทางการเมืองมาร่วมๆ กว่าทศวรรษเข้าไปแล้ว...ดูเหมือนว่าแต่ละกลุ่ม แต่ละฝ่าย ค่อนข้างพัฒนา วุฒิภาวะ ของตัวเอง หรือกลุ่มก้อนตัวเอง ไปบ้างแล้วพอสมควร เอาง่ายๆ ว่า...แม้ทุกวันนี้ เท่าที่ได้ฟัง ได้อ่าน คำพูด คำจา คำให้สัมภาษณ์ การพูดจาปราศรัย ของ แกนนำ ทางการเมือง อย่างคุณน้อง จตุพร ตุ๊ดตู่ ที่เคยออกไปทาง แดง-ไม่แดง...แต่ขอให้แรงเข้าว่า มาโดยตลอด เผลอๆ...อาจเป็นอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจ ดูเป็นผู้หลัก-ผู้ใหญ่ ซะยิ่งกว่าพวก สลิ่ม บางราย เอาเลยก็ไม่แน่ กระทั่ง แรมบ้า ที่เคยบ้า...ก็...บ้าวะ อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ มาบัดนี้ก็สลายเงา สลับร่าง กลายมาเป็น แรมโบ้ เป็นองครักษ์พิทักษ์ ลุงตู่ ไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว...

                                                     (7)

                สรุปเอาเป็นว่า...มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็น่าจะเลิกๆ กันไปได้แล้ว!!! สำหรับการเป็นกลุ่ม เป็นฝ่าย การแบ่งข้าง แยกข้าง ไปตามกรอบ ตามทฤษฎีทางการเมือง ที่ล้วนแล้วแต่กักขังตัวเอง ขังใครต่อใคร เอาไว้จนต้องหมดอิสรภาพทางร่างกาย รวมทั้งทางวิญญาณควบคู่ไปด้วย หรือถึงเวลาแล้ว...ที่ควรต้องอาศัย ความรู้-รัก-สามัคคี ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าร่างกายและวิญญาณออกมาหลอมรวมให้ความเป็น เพื่อน-พ้อง-น้อง-พี่ หวนคืนกลับมา ภายใต้ความเป็นไทย หรือการอยู่ร่วมกันโดยสันติภายในสังคมแบบไทยๆ ด้วยเหตุนี้...ก็คงต้องขออนุญาตชูจั๊กกะแร้เชียร์ ใครก็ตามที่ กล้า ออกมาชี้แนะ ชี้นำ กันในช่วงนี้...

                          -----------------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"