คำสารภาพของคนแก่


เพิ่มเพื่อน    

                                                           (1)

        ก่อนอื่น...คงต้องขออนุญาต สารภาพ แบบตรงไป-ตรงมา ว่าโดยทัศนคติ ค่านิยม หรือ รสนิยม ของ อันตัวข้าพเจ้าเอง ออกจะเป็นอะไรที่ผิดแผก แตกต่าง คิดต่าง หรือเห็นต่าง ไปจากบรรดาพวกเด็กๆ รุ่นใหม่ๆ ไม่ว่าจะรุ่นเจนฯ เอ็กซ์ เจนฯ วาย เจนฯ แซด หรือเจนฯ อัลฟา เบตา อยู่พอสมควร...

                                                         (2)

        ซึ่งก็คงต้อง ขอความกรุณา เอาไว้ ณ ที่นี้...ว่าอย่าถึงขั้นต้องไล่เตะ ไล่ถีบ ไล่กระทืบ ผู้ที่คิดต่าง เห็นต่างไปจากตัวเอง เหมือนอย่างที่ตัวเอง หรือเหมือนอย่างที่บรรดา นักประชาธิปไตย ในแต่ละราย ออกมาเรียกร้อง ต้องการ ไม่ให้ผู้ที่มีอำนาจ อิทธิพลใดๆ ก็แล้วแต่ คิดหันมาเล่นงาน หันมาตบกะโหลกเด็กๆ ทั้งหลายเป็นเด็ดขาด!!! จะถือซะว่า ขอลุงก่อน...ลุงแก่แล้ว หรือจะมอบความเมตตา สงสาร ความกรุณา ปรานีใดๆ ก็ตาม ต้องถือเป็นพระคุณเป็นอย่างยิ่ง...

                                                       (3)    

        เพราะอย่างที่เคยว่าๆ เอาไว้แล้วนั่นแหละว่า...แค่เฉพาะ รสนิยม ในการ ฟังเพลง ของอันตัวข้าพเจ้าเอง ถ้าหากต้องนั่งรถแท็กซี่หรือต้องไปติดแหง็ก อยู่ ณ สถานที่แห่งหน ตำบลใด อันทำให้จำต้องทนทรมานนั่งฟังเพลง ของคนรุ่นใหม่ๆ แบบไม่เหลือทางออก ทางไป หรือ ทางรอด ใดๆ เอาเลยนั้น โอกาสที่ เส้นโลหิตในสมองแตกตาย ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ คือเป็นอะไรที่ออกจะรับไม่ได้ หรือไม่ค่อยจะได้ ด้วยเหตุเพราะไม่รู้ว่าทำไม ยังไง เขาถึงต้องโหยหวน ครวญคราง ไปได้ถึงปานนั้น แถมไม่ได้มี ฉันทลักษณ์ ไม่มีจังหวะ จะโคน ไม่มีความสอดคล้อง กลมกลืน ระหว่างถ้อยคำในแต่ละวรรค แต่ละประโยค ไม่ได้มีฉากธรรมชาติ ความเกี่ยวเนื่อง โยงใยกับสังคม จู่ๆ ก็ เจ็บนิ้วโป้งจัง เจ็บโน่น เจ็บนี่ ไปตามเรื่อง...

                                                         (4)

        ส่วนรสนิยมการ ดูหนัง ก็คงไม่ต่างไปจากกัน...อย่างที่เคยว่าๆ ไว้แล้วว่า ถ้าเป็นหนัง หรือเป็นภาพยนตร์ตั้งแต่ยุค ค.ศ.2000 เป็นต้นไป อาจมีอยู่แค่ 0.001 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่พอดูได้ หรือพอทนได้ เพราะนอกเหนือไปจากนั้น ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดอาการครั่นเนื้อ ครั่นตัว เกิดความขนลุก ขนพอง ต่อความ ดัดจริต หรือ ความไม่เป็นธรรมชาติ อันเนื่องมาจากความพยายามที่อยากแสดงออกถึง ความเป็นธรรมชาติ แบบหลุดกรอบ เลยกรอบ หรือแบบที่ไม่ได้ เข้าถึง-เข้าใจ ต่อความเป็นจริง ชีวิตจริง ไม่ว่าในแง่สคริปต์ บทสนทนา ไปจนโครงเรื่อง เนื้อเรื่อง แม้ไปหยิบเอา พล็อต จากนิยายคลาสสิก วรรณกรรมคลาสสิก มาใช้เป็นกรอบ เป็นโครงก็เถอะ ส่วนใหญ่...มักต้องหันไปแหกกรอบ ฉีกกรอบ จนเป็นอะไรที่เละเทอะ เลอะเทะ ไปด้วยกันทั้งนั้น...

                                                       (5)

        ยิ่งถ้าหากเป็น วรรณกรรม เป็นนิยาย เรื่องสั้น เป็นบทกลอน บทกวี...ยิ่งไปกันใหญ่!!! จะด้วยเพราะความไม่อยากลอกแบบ เลียนแบบ ไม่คิดจะติดยึดใน ฉันทลักษณ์ ไม่สนใจที่จะศึกษา ค้นคว้า ไม่ให้ความสำคัญกับอะไรก็ตามเท่าที่เคยมีมาในอดีต ฯลฯ หรือจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ดังนั้น...อะไรก็ตามที่ถูกประดิษฐ์ คิดค้น เสกสรรค์ ปั้นแต่ง รจนามาเป็นนิยาย เรื่องสั้น บทกลอน บทกวีรุ่นใหม่ๆ มันเลยหนักไปในทาง วรรณเวร หรือออกจะเป็นเวร เป็นกรรม สำหรับผู้อ่านประเภทคนแก่ คนชรา ทั้งหลาย คือมันไม่ได้มีความงาม แง่งาม หรือแง่งอมใดๆ ทั้งสิ้น ดื้อๆ ทื่อๆ เป็นแท่งๆ ด้ามๆ แถมไม่รู้ว่าคิดจะให้อะไร คิดจะนำเสนอสิ่งไหนต่อสิ่งไหนกันแน่...

                                                       (6)

        โดยความรู้สึกของคนแก่ คนชรา มันเลยหนีไม่พ้นต้อง ทำใจ ยอมรับสภาพ ว่า...วรรณกรรมตายแล้ว!!! หนังตายแล้ว!!! หรือแม้แต่ดนตรี ยังไม่พ้นต้อง เดอะ เดย์ เดอะ มิวสิก ดาย ตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจาก จิตวิญญาณ อันเป็นสิ่งสุดแสนประณีตและละเอียดอ่อน ที่ ธรรมชาติ ท่านได้พยายามสอดแทรก แผ่ซ่าน และซึมลึก อยู่ภายในจิตสำนึก ในอารมณ์ความรู้สึก ของมวลมนุษย์ทั้งหลาย มันอาจถูก เทคโนโลยี ถูกอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ บั่นทอน ทำลาย จนทุกสิ่งทุกอย่างแห้งเหือดไปจากทัศนคติ ค่านิยม รสนิยม ของบรรดาคนรุ่นใหม่แต่ละราย หรือไม่ อย่างไร? ก็ยากจะสรุปได้ชัดเจน...

                                                       (7)

        แต่ถึงกระนั้นก็ตาม...การหาทาง อยู่ร่วมกันโดยสันติ ระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นก่อนๆ ยังถือเป็นความจำเป็นเอามากๆ หรือเป็นสิ่งซึ่งมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ดังนั้น...จึงหนีไม่พ้นต้องขออนุญาตเรียกร้องและวิงวอน ต่อบรรดา เด็กๆ บังเกิดเกล้า เอาไว้ ณ ที่นี้ ว่าอะไรที่มันไม่ถึงกับหนักหนา สาหัส จนเกินไป ไม่ว่าสายใยระหว่างพ่อๆ-แม่ๆ ครูบาอาจารย์ พี่ๆ-น้องๆ หรือระหว่างสถาบันทางสังคมกับผู้คนที่ไม่สามารถแปลงสภาพไปเป็นคนรุ่นใหม่ได้แบบถึงไหนก็ถึงกัน ฯลฯ ยังไงๆ...ก็น่าจะผ่อนๆ เอาไว้มั่ง อย่าถึงขั้นจบปั๊บต้องสตาร์ทด้วยเงินเดือน 5 หมื่น หรือต้องให้พ่อ-แม่-ครูบาจารย์ ไปตายๆ ซะให้พ้นหน้า พ้นตา ไปจนต้องแก้หมวด 1 มาตรานั้น มาตรานี้ ให้จงได้ ฯลฯ ยังไงๆ...เหลือ สะพานถอยหลัง เอาไว้มั่ง น่าจะเข้าท่ากว่าเป็นไหนๆ...

                                  -------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"