‘แดน บุรีรัมย์’เผยเส้นทางชีวิตจากนักร้องจนมาเป็นครูเพลง


เพิ่มเพื่อน    

 

          ครูเพลงชั้นเซียน-ตลกตัวพ่ออย่าง แดน บุรีรัมย์” เผยเส้นทางในวงการเกือบ 60 ปี กับชีวิตที่พลิกผันจากนักร้องต้องกลายมาเป็นตลกและยังมีดีกรีเป็นถึงครูเพลง ในรายการคุยแซ่บShow ทางช่องOne31 พร้อมเผยความรู้สึกหลังสูญเสียภรรยาจนถึงขั้นเกือบตรอมใจ ต้องหามส่งเข้าโรงพยาบาล

 

ครูแดนเข้าวงการตั้งแต่อายุ 17 ตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง ?

ครูแดน : เรียนจบใหม่ๆตอนนั้นอยู่ประมาณชั้น ม.6 เรียนเสร็จก็ทำนาก็ค่อนข้างลำบาก ทีนี้อยากมาเป็นนักร้องเพราะใจเราชอบ จริงๆหัดร้องมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ร้องหน้าห้องเรียนบ้าง พอเข้าโรงเรียนการช่างเริ่ม ม.1 ทางโรงเรียนมีสอนดนตรีเราเลยเรียนดนตรีไปในตัวด้วย

 

ครูมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักร้องแต่ทางบ้านไม่อยากให้เป็น ?

ครูแดน : ใช่ สมัยก่อนคนเฒ่าคนแก่เขาบอกว่าเต้นกิน รำกิน เขาไม่ชอบ เขาก็ถามว่าจะเอาตัวรอดเหรอเต้นกินรำกิน เขาให้ทำนาอย่างเดียว แต่ใจเรามันชอบเพราะหัดตนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ ก็อยากเป็นนักร้องให้ได้ พอดีไปอ่านหนังสือเพลงเจอว่าเขารับสมัครนักร้อง อยากจะมาร้องเพลง ขอเงินพ่อแม่ก็ไม่ให้เพราะเขาไม่ชอบ เลยไปขอพี่ชายเขาให้มาร้อยหนึ่งเลยมาเลย ไปสมัครวันนั้นเลย รถมาถึงเย็นแล้วก็ไปเจอกับเขาที่ผ่านฟ้าโรงพิมพ์บรรลือสาส์น เจอเขาก็ได้คุยกับเขา เราก็ยังไม่ได้ร้องเพลงให้เขาฟัง จนมืดเขาก็ชวนไปบ้านด้วย ยังไม่ได้รับสมัครเรา

เข้าไปก็ไม่ได้คุยอยู่บ้านก็ไม่ได้คุยเลย พอตื่นเช้าก็มาที่ทำงานเขาใหม่ที่โรงพิมพ์ เขาก็ให้เราเข้าไปรอในร้านกาแฟ บอกให้เรากินก๋วยเตี๋ยวตรงนี้ได้ ตัวเขาก็เข้าไปทำงานไปตรวจปรู๊ฟเพลงบ้าง ถึงตอนเที่ยงเขาให้เราร้องเพลงให้ฟัง พอร้องไปได้ครึ่งเพลงเขาก็บอกให้เรานั่ง ใจเราก็เต้นว่าเขาฟังไปครึ่งเพลงเขาคงไม่รับเราหรอก พอเขาเลิกงานเขาก็บอกว่าตกลงรับอยู่ด้วยก็แล้วกัน ผมมากับเพื่อนอีกคนหนึ่ง เด่น บุรีรัมย์

 

 

ในที่สุดก็มีเพลงเป็นของตัวเองแต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ ?

ครูแดน : ก็เงียบๆ คนไม่ค่อยขอมาเท่าไหร่ แต่คนที่ไปด้วยกันเขาดัง เด่น บุรีรัมย์ เขาเริ่มดังเพลงแรกเลย  เพลงคิดดูดีดี ครูก็เลยตัดสินใจไปอยู่กับอีกวงหนึ่ง ไปอยู่รวมดาวกระจาย ก็เปลี่ยนจากนักร้องอย่างเดียวมาเป่าแซ็กด้วย ซึ่งเราเคยเรียนมาสมัยเป็นนักเรียน เป็นนักดนตรีด้วยได้ค่าตัวเพิ่มก็โอเคนะ ตกลงก็ร้องเพลงด้วย เป่าแซ็กด้วย อยู่กับครูสำเนียงก็ให้อัดเพลงคอยหาคู่เป็นเพลงโห่ พออัดกับเขาเสร็จเดินสายกับเขาได้ 2 ปี มีเพื่อนที่อยู่ในวงเดียวกัน รุ่งทวี หนองแค กับ ประสพโชค มีลาภ ที่แต่งเพลงหลวงปู่ทวดเหยียบใจ เขาก็ออกจากวงรวมดาวกระจายแล้วเขาก็ไปประกาศรับสมัครนักร้องประกาศตั้งวงแล้วในนั้นมีชื่อเรา, แดน บุรรีรัมย์, ชลธี ธารทอง, ประยงค์ ชื่นเย็น มาอยู่คณะเขา เราไม่รู้เรื่องเลย ก็เป็นเรื่อง เจ้าของโกรธ หัวหน้าวงไม่ถามไม่อะไรเลย ไล่ออกเลย เขารู้ว่าเราจะออกก็ไล่ออกไปเลย คืนนั้นที่ต้องเล่นพิษณุโลกผมก็ไม่ได้เล่นด้วย ไม่ได้ค่าตัวแล้วเงินก็ไม่มีเก็บ

 

 

ชีวิตต้องพลิกผันไปเล่นตลก ?

ครูแดน : ใช่ ตั้งวงได้ปีเดียว ชลธีก็แยกวง ปี 2511 สุรพลตายพอดี ชลธีเขาแยกวงเขาก็เอาตลกไปด้วย วงเราที่ตั้งใหม่ไม่มีตลก ผมก็เลยต้องออกไปเล่นตลก ไปเล่นตลกคนเดียว ครูพักลัก

 

ครูแดนตั้งชื่อให้พี่หม่ำด้วย เป็นพี่หม่ำ จ๊กมก ตอนนั้นเห็นอะใรตัวพี่หม่ำ ?

ครูแดน :  ตอนนั้น เทพ โพธิ์งาม เขาหาตลกก็มีมาสมัครกันเยอะ ใครเล่นได้ อยู่ได้ แต่ที่มาสมัครก็เยอะ เดือนนึงถ้าไม่เข้าตาเขาก็ให้ออก เทพเขาค่อนข้างเป็นคนหงุดหงิดง่าย แล้วหม่ำมาตอนหลังเพื่อนเลย เขามาสมัครก็อยู่ได้ พอใกล้จะครบเดือนเขาก็จะเดินออกแล้ว ที่เรียกหม่ำ จ๊กมก เพราะเมื่อก่อนเขาไม่มีรถแล้วเขามานั่งรถผมแล้วเขานั่งรอแบบซกมก ก็เลยเป็นหม่ำ จ๊กมก

 

พอเป็นตลกเต็มตัวเคยคิดหันหลังให้วงการนักร้องไหม ?

ครูแดน : จริงๆอาชีพนี้ผมชอบนะ แล้วก็อยู่แบบนี้มาค่อนชีวิตเลย รักลูกทุ่ง ชอบลูกทุ่ง จะว่าทิ้งเลยก็ไม่เชิง เรายังรักอยู่ แต่จะรับงานให้น้อยหน่อยเพราะไม่สบายมาปีกว่า

 

 

สิ่งหนึ่งที่รักมากคือภรรยา ขอแสดงความเสียใจด้วย ?

ครูแดน : เขาเสียเมื่อ 2 ปีที่แล้ว 2561 เขามีโรคประจำตัวพวกเบาหวาน ความดัน พอดีวันนั้นความดันเขาขึ้นแล้วก็ล้ม เส้นเลือดแตก ตั้งแต่นั้นก็ต้องเจาะคอหายใจไม่ออก กินอาหารทางคอ จนมาได้ปีกว่ากลายเป็นคนไข้ติดเตียงได้ปีกว่าก็เสียชีวิต เสียเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2561

ดูแลตลอด ผมมีภรรยาคนเดียว อยู่กันมาตั้งแต่แต่งงานมาเมื่อปี 2511 ที่รู้จักกันเพราะสอนเขาเต้นหางเครื่อง เพราะตอนนั้นผมตั้งวงแล้วไม่มีนักร้อง ไม่มีหางเครื่อง ก็ต้องประกาศวิทยุแล้วก็รับสมัครนักร้อง พอมาก็ไม่มีใครสอนเต้น ผมก็ต้องสอนเต้น ให้หัดนับชะชะช่า ด้วยความสนิทแล้วเราก็มองเขา เรารักเขา เราอยู่ด้วยกันมา 50 ปีได้ ก็เสียใจที่สุด นอกจากพ่อแม่ก็เขาแหละ เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่หมอนมีใบเดียว มุ้งก็ไม่มี นักร้องมันจนมาก เรานอนหนุนหมอนแล้วให้เขานอนหนุนแขนเรา

 

มีช่วงที่เรานอนร้องไห้คนเดียวไหม ?

ครูแดน :  ก็คิดนะ เคยมีเขาแล้วไม่มี บ้านก็ว่าง ลูกๆก็แยกไปทำงานหมด เหลือเราคนเดียว ยังดีที่ได้ลูกสาวที่เป็นลูกเลี้ยงเรา จนตอนนี้เขาลาออกจากพยาบาลแล้วมาอยู่พยาบาลผมจนถึงตอนนี้ เวลาอยู่คนเดียวคิดถึงมาก เพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ตีกันซักแปะยังไม่มีเลยจนตายจากกัน

 

ครูแดนสัญญากับภรรยาคนนี้ว่าจะรักกันไปจนตาย ?

ครูแดน : ใช่ เราจะอยู่จะรักกันไปจนตาย ก็จนตายจากไปจริงๆ พอเขาตายไม่เท่าไหร่ผมก็ไม่สบายเลย ผมก็เป็นเหมือนเขาเหมือนกันเส้นโลหิตตีบ แต่ของผมมันตีบยังไม่ถึงขั้นแตก มันก็เป็นอัมพฤตไปครึ่งตัวทางขวา น่าจะเป็นเกี่ยวกับสุขภาพตัวเอง การพักผ่อนน้อย มีสัญญาณบอกคือเราเดินไม่ได้ ปากเบี้ยว ก็ไม่คิดว่าเป็นเส้นโลหิตตีบ ลูกๆเลยรีบพาไปหาหมอ เขาก็ทำซีทีแสกนหมดทั้งตัวเลย ก็เป็นอัมพฤตไปครึ่งตัว พูดไม่ชัด เราก็ไปทำกายภาพบำบัด ฉีดยา ทำทุกอย่างที่เขามี ก็หายได้ ออกจากโรงพยาบาลก็กลับมาทำงานลูกก็เป็นห่วง แต่เขาก็มีงานการทำกัน

 

ตอนนี้ครูแดนยังไม่อยากออกจากวงการบันเทิงนักร้องหรือตลกเลย ?

ครูแดน : ไม่อยากออกหรอก แต่ก็รับงานให้มันน้อยๆหน่อย อย่างมีถ่ายหนังก็เล่นบทน้อยหน่อย งานคอมเม้นท์ประกวดร้องเพลงยังได้อยู่

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"