ศาลอุทธรณ์เพิ่มโทษ อดีต ปธ.สหกรณ์ออมทรัพย์จุฬาฯ คุก 50 ปี ฟอกเงินฉ้อโกงปชช. 42 ล้านบาท


เพิ่มเพื่อน    

25 ส.ค.63 - ที่ห้องพิจารณา 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีฟอกเงิน หมายเลขดำ ฟย.20/2560 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ฟ้องนายสวัสดิ์ แสงบางปลา อายุ 80 ปีเศษ อดีตประธานกรรมการบริหารสหกรณ์ออมทรัพย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, น.ส.จิรัชญา หรือไข่เจียว คุณยศยิ่ง อายุ 24 ปีเศษ และ น.ส.ภวิษย์พร หรือชมพู่ ใบเกตุ อายุ 29 ปีเศษ ทั้งสองเป็นชาว กทม. และเป็นคู่รักกัน ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 กรณีจำเลยร่วมกันฟอกเงินสหกรณ์จุฬาฯ 42 ล้านบาท จากการฉ้อโกงเงินประชาชนที่นำมาร่วมลงทุนซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

คดีนี้สืบเนื่องจากคดีฉ้อโกงประชาชน หมายเลขดำ อ.2438/2560 ที่พนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ฟ้องนายสวัสดิ์เป็นจำเลย กรณีเมื่อต้นเดือน ม.ค.2559 - 9 มิ.ย.2560 ต่อเนื่องกัน จำเลยอาศัยตำแหน่งประธานสหกรณ์ออมทรัพย์จุฬาฯ ชักชวนหลอกลวงประชาชนให้มาลงทุนว่า จำเลยได้รับโควตา หรือการจัดสรรคัดเลือกเป็นตัวแทนจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อไปจำหน่ายเอากำไรต่อ โดยจะได้ค่าตอบแทนร้อยละ 1 ต่อเดือนของจำนวนเงินที่ให้กู้ยืม หรือร้อยละ 12 ต่อปี และเดือนสุดท้ายจะได้รับผลตอบแทนคืนทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย ทั้งที่ไม่เป็นความจริง จนมีประชาชนหลงเชื่อจำนวนมาก นำเงินมาลงทุนทั้งสิ้น 183,730,000 บาท ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343 และ พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน

สำหรับคดีฟอกเงิน ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเมื่อ วันที่ 31 ม.ค. 2562  พิพากษาว่า จำเลยที่ 1, 3 มีความผิดฐานสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปกระทำผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงินแล้ว ซึ่งเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษฐานร่วมกันฟอกเงินซึ่งเป็นบทหนักที่สุด โดยให้จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 4 ปี ส่วนจำเลยที่ 1 มีความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม โดยจำคุกกระทงละ 4 ปี ซึ่งขณะกระทำผิดจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีอำนาจจัดการของสถาบันการเงินตาม พ.ร.บ.ฟอกเงินฯ มาตรา 10 วรรคแรก จะต้องระวางโทษเป็นสองเท่า ดังนั้นจึงให้จำคุกกระทงละ 8 ปี โดยคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวน และทางนำสืบของจำเลยที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง จึงให้ลดโทษจำเลยที่ 1, 3 คนละ 1 ใน 4  โดยให้จำคุกจำเลยที่ 1 รวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้จำคุกไว้ทั้งสิ้น 20 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 ให้จำคุกมีกำหนด 3 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง

ต่อมาโจทก์และจำเลยที่ 3 ยื่นอุทธรณ์ วันนี้ ศาลเบิกตัวนายสวัสดิ์ จำเลยที่ 1 จากเรือนจำมาฟังคำพิพากษา ส่วน น.ส.จิรัชญา และ น.ส.ภวิษย์พร จำเลยที่ 2-3 ซึ่งได้รับการประกันตัวเดินทางมาศาล

ศาลอุทธรณ์ตรวจประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ว่าจำเลยที่ 3 มีความผิดตามฟ้องในสำนวนแรกหรือไม่ ข้อเท็จจริงในคดีนี้จำเลยที่ 1, 3 คบหากันฉันชู้สาวมาเป็นเวลานานหลายปี ย่อมมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง จนมีความสนิทสนมและไว้วางใจซึ่งกันและกัน ส่วนจำเลยที่ 2 กับ 3 คบหากันในลักษณะหญิงรักหญิง ระหว่างเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ได้โอนเงินให้จำเลยที่ 3 ผ่านบัญชีธนาคารที่ใช้ร่วมกับจำเลยที่ 2 เป็นเงินกว่า 42 ล้านบาท และร่วมกันเบิกถอนเงินไปใช้จ่าย โดยไม่ได้โอนเงินคืนให้จำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 3 อ้างคบหากันในเชิงชู้สาวกับจำเลยที่ 1 และมีการขอยืมเงินกันโดยทั่วไปเท่านั้น เพราะจำเลยที่ 3 ติดหนี้จากการพนัน เป็นคำกล่าวอ้างลอยๆ ไม่อาจเชื่อถือได้

พยานหลักฐานของโจทก์มีเหตุผลเพียงพอรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 โอนเงินที่ได้จากการฉ้อโกงประชาชนและการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยร่วมกันกระทำความผิดและแบ่งหน้าที่กันทำกับจำเลยที่ 3 และพวกของจำเลยที่ 1 ส่งต่อเงินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 โดยผ่านบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 รับโอนเงินดังกล่าว อันเป็นการร่วมกันซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของเงินหรือทรัพย์สินนั้น โดยจำเลยที่ 3 รู้ในขณะรับโอนทรัพย์สินนั้น มาว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นความผิดตามฟ้อง

ส่วนที่จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ส่วนใหญ่เป็นพยานบอกเล่า ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความ จึงไม่อาจรับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 นั้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ไม่ได้โต้แย้งว่าพยานหลักฐานของโจทก์ส่วนใดเป็นพยานบอกเล่าและไม่ควรรับฟังด้วยเหตุผลใด จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้ง ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคหนึ่ง จึงไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยที่ 3 นั้น ศาลอุทธรณ์เห็นด้วย

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า ศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำเลยที่ 1 ไว้ถูกต้องแล้วหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2543 ซึ่ง ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ผู้ที่กระทำความผิดต้องรับโทษเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้ สำหรับความผิดนั้นและการกระทำอันเป็นความผิดต้องระวางโทษตามมาตรา 60 มีอัตราโทษจำคุก ตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้นโทษสองเท่าที่กำหนดไว้ตามมาตรา 60 จึงต้องเป็นโทษจำคุกตั้งแต่ 2-20 ปี หรือปรับตั้งแต่ 40,000-400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้นการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดอยู่ในหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 (3) เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 ทุกกระทงแล้ว จึงต้องจำคุกไม่เกิน 50 ปี ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 6 ปีรวม  10 กระทงเป็นโทษจำคุก 60 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จึงต้องลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ได้ไม่เกิน 50 ปี ไม่ใช่จำคุกเพียง 20 ปี ไม่อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไปว่า ความผิดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.3256 ถึง 3257/2561 ของศาลชั้นต้นเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน เป็นความผิดคนละฐานความผิดกัน และมีการแยกฟ้องเป็นคนละคดีกัน จึงไม่ใช่คดีต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน จึงนับโทษในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีดังกล่าวได้ เห็นว่าความผิดตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ อ.3256 ถึง 3257/2561 ของศาลชั้นต้นซึ่งศาลชั้นต้นสั่งรวมการพิจารณาและพิพากษาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกันนั้น เป็นคดีที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานฉ้อโกงและฉ้อโกงประชาชน และความผิดฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527

ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งเป็นการกระทำความผิดที่อาศัยความผิดมูลฐานมาจากการกระทำความผิดฐานการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ซึ่งคดีทั้งสองคดีข้างต้นกับสำนวนคดีทั้งสองสำนวนที่รวมการพิจารณาพิพากษาคดีเข้าด้วยกันเป็นคดีนี้นั้น เป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระและมีเจตนาในการกระทำผิดแยกต่างหาก โดยไม่มีความเกี่ยวพันกัน ผู้เสียหายและพยานหลักฐานเป็นคนละชุด ลักษณะคดีและความผิดคนละประเภทไม่อาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันหรือพิจารณาพิพากษารวมกันไปได้ จึงไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 (3) ศาลย่อมนับโทษต่อกันได้ ที่ศาลชั้นต้นไม่นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีดังกล่าวนั้นศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับสำนวนที่ 2 นั้น เมื่อความผิดฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ตามที่สมคบกันกับความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งมีอัตราโทษเท่ากัน เห็นควรให้ลงโทษฐานร่วมกันฟอกเงิน การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ฐานสมคบเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินต่างกรรมกันอีกกระทงนั้น จึงไม่ถูกต้องและเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 แม้ไม่มีคู่ความอุทธรณ์ แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง

พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 6 ปี รวม 9 กระทง รวมเป็น 54 ปี แต่คงจำคุกได้เพียง 50 ปีตามกฎหมาย และให้นับโทษต่อจาก คดีเลขที่ อ.3256/2561, อ.3257/2561 โดยให้หักวันคุมขังจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ออกจากโทษจำคุกตามคำพิพากษาให้ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำตัดสินศาลชั้นต้น


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"