สิ่งที่กำลังขาดหายขณะเราต้องการมันที่สุด


เพิ่มเพื่อน    

                                                  (1)

        ความ อึด ความ ทน...มันคงต้องมีอะไรดีๆ ซักอย่าง ไม่ก็ 8 อย่าง 9 อย่าง หรือกี่ต่อกี่อย่างก็แล้วแต่นั่นแหละทั่น ไม่งั้น...จู่ๆ พระนบี มูฮัมหมัด แห่งศาสนาอิสลาม ท่านคงไม่ลุกขึ้นมาอบรม สั่งสอน ให้บรรดามุสลิมทั้งหลาย ต้องอดน้ำ อดข้าว ห้ามกิน ห้ามดื่ม ไปจนกว่าจะดึกๆ ดื่นๆ ในช่วงวาระสำคัญของศาสนาอิสลาม หรือช่วง ถือศีลอด ในเดือนรอมฎอน อะไรทำนองนั้น...

                                                         (2)

        ไม่ต่างอะไรไปจาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของหมู่เฮาทั้งหลาย...ที่ถึงกับต้องบัญญัติ ควบคุมความประพฤติและปฏิบัติของบรรดาพระสงฆ์ องค์เจ้า ไว้ด้วย ศีล หรือวินัย ถึง 227 ข้อด้วยกัน คือสำหรับปุถุชนคนธรรมดา อย่างบรรดาเราๆ-ทั่นๆ แค่เจอกับ ศีล 5 หรือ ศีล 8...ก็ตายแล้ว!!! แต่สำหรับบรรดาพวก พระ หรือบรรดาผู้ที่คิดจะเดินตามรอยบาทพระศาสดาแบบจริงๆ-จังๆ หนีไม่พ้นต้องถูกฝึก ถูกปรือ ความอึด ความทน ด้วยการสั่งให้ห้ามโน่น ห้ามนี่ เต็มไปด้วยรายละเอียดปลีกย่อยชนิดถึงขั้น...ห้ามไม่ให้เอาน้ำมีตัวสัตว์รดหญ้าหรือดิน-ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป-มา-ห้ามขอผ้าห่มหนาวเกินราคา 16 กหาปณะ ไปจนกระทั่ง...ห้ามฉันกระเทียม ฯลฯลฯลฯลฯลฯลฯ เอาเลยถึงขั้นนั้น...

                                                     (3)

        เช่นเดียวกับ พระเยซูคริสต์ หรือ พระจีซัส ไครส์ ผู้สุดแสนจะโรมันคาทอลิก ที่ถ้าลองต้องเจอใครกรากเข้ามา ตบแก้มซ้าย เมื่อไหร่และอย่างไร ท่านดันเสนอแนะให้ เอียงแก้มขวา ไปให้เขาตบอีกซะนี่!!! ใครฟ้องร้องขึ้นโรง-ขึ้นศาล คิดจะเอาสมบัติ หรือแม้แต่เสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกาย ท่านกลับยุให้ถอดเสื้อคลุม มอบให้เขาไปด้วย แถมห้ามไม่ให้สั่งสมเงินทองไว้ในโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะอดๆ อยากๆ ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์เป็นเครื่องประดับ แต่สู้การสั่งสมความดี ความงาม อันถือเป็นสมบัติในโลกแห่งจิตวิญญาณ หรือพร้อมยอมเป็นดอกไม้ริมทาง ที่แม้ไม่ได้แต่งองค์ ทรงเครื่อง แต่อาจงดงามซะยิ่งกว่าเครื่องแต่งกายของกษัตริย์โซโลมอน ไม่รู้จะกี่เท่าต่อกี่เท่า ฯลฯ...

                                                       (4)

        อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้...ล้วนแต่เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่า ราคา ของความ อึด ความ ทน นั่นแหละเป็นสำคัญ ชนิดใครก็ตาม ที่อึดกว่า ทนกว่า ก็น่าจะเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะ มีคุณสมบัติ มากพอที่จะเดินไปใน แนวทางแห่งพระเจ้า หรือ แนวทางแห่งศาสนา ในแต่ละศาสนา ได้แบบเท่าไหร่ก็เท่ากัน โดยเชื่อๆ ไปในแนวเดียวกันซะเป็นส่วนใหญ่นั่นแหละว่า แนวทางที่ว่านี้ หรือทำนองนี้ น่าจะนำไปสู่ความสุข ความสงบเย็น ความสว่าง สะอาด หรืออาจนำไปสู่ สวรรค์ ถ้าหากสิ่งที่ว่านี้มีจริง ไม่ว่าจะในแง่ สวรรค์ในอก-นรกในใจ หรือสวรรค์และนรกในชั้นไหน ขุมไหน ก็ตามแต่...

                                                       (5)

        ดังนั้น...ความ อึด ความ ทน หรือถ้าเรียกตามภาษา พระ ว่า ขันติธรรม อะไรทำนองนั้น ย่อมน่าจะนำมาซึ่ง “ประโยชน์” ชนิดมากมายมหาศาล บานตะเกียง อยู่พอสมควร ไม่ว่าในแง่ส่วนตัว หรือในระดับสังคม ระดับชาติ ก็แล้วแต่ ขึ้นอยู่กับว่าจะนำมาใคร่ครวญ พิจารณา กันในระดับไหนต่อระดับไหน ยิ่งโดยเฉพาะบ้านเราในช่วงระยะนี้ ที่อะไรต่อมิอะไรดูจะก่อให้เกิดบรรยากาศ แบบที่บรรดานักคิด นักปราชญ์ เมื่อยุคอดีต โดยจะเป็นใครก็คงยากที่จะสืบหาได้แน่ชัด แต่ท่านได้เอ่ยไว้เป็นวาทะได้ค่อนข้าง เก๋ เอามากๆ ประมาณว่า...Patience is the virtue most needed just when we run out of it. โดยอาจารย์ กรุณาและเรืองอุไร กุศลาสัย ท่านได้ถอดความ แปลความเอาไว้ว่า...ขันติธรรมความอดทน เป็นคุณสมบัติที่เรามักขาด โดยเฉพาะในยามที่เราต้องการมันที่สุด ทำนองนั้น...

                                                        (6)

        คือพูดง่ายๆ ว่า...อะไรต่อมิอะไรในช่วงนี้ มันออกจะก่อให้เกิดความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวตีน สำหรับใครต่อใครในแทบทุกระดับ ทุกชนชั้นและชั้นชน ด้วยอุบัติการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากลางบ้าน กลางเมือง กลางถนน ทั้งในโลกเสมือนจริง ไปจนโลกแห่งความเป็นจริง จนต่างฝ่ายต่างอดไม่ได้ที่จะต้องเขย่าแข้ง เขย่าขา เขย่ามือ เขย่าตีน เกิดอาการ เส้นกระตุก กันไปทั้งบ้าน ทั้งเมือง เอาเลยก็ว่าได้ และโดยบรรยากาศทำนองนี้นี่เอง ที่ทำให้สิ่งที่เรียกว่า ขันติธรรม มันจึงสำคัญเอามากๆ เพราะเป็นบรรยากาศที่สามารถทำให้สิ่งที่ว่านี้ ขาดผึง เอาได้ง่ายๆ หรือทำให้ใครต่อใครไม่คิดจะ อึด ไม่คิดจะ ทน ต่อไปอีกแล้ว...

                                                     (7)

        ซึ่งก็แน่ล่ะว่า...ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่คิดจะอึด ไม่คิดจะทน ฝ่ายที่ถูกตบแก้มซ้าย อดมิได้ที่จะต้องสาดส้นตีนข้างขวาสวนกลับ ฝ่ายที่โดน ทัวร์ลง หันไปขับรถสิบล้อ หรือรถบดถนน พุ่งเข้าประสานงาแบบให้เละกันไปข้าง ฯลฯ อะไรประมาณนั้น สิ่งที่หนีไม่พ้นต้อง ฉิบหาย เป็นอันดับแรก ย่อมหนีไม่พ้นไปจากสภาพความเป็นไปของบ้านเมือง ที่บรรดา ความสงบเรียบร้อย ในทุกระดับกำลังเป็นที่ปรารถนาและต้องการเอามากๆ หรือไม่ว่าใคร ชนะ แต่ยังไงๆ...คงต้อง แพ้ ไปด้วยกันทุกฝ่ายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ด้วยเหตุนี้...คงหนีไม่พ้นต้องหันไปให้ความสำคัญกับความอึด ความทน กับ ขันติธรรม ไว้ให้มากๆ นั่นแหละดี...

                                 -------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"