นำเข้าโควิดจากพม่าอีก1 สั่งสกัดลักลอบข้ามแดน


เพิ่มเพื่อน    

 

สธ.พบหญิงไทยติดโควิดเพิ่มอีก 1 รายใน จ.เชียงราย หลังลักลอบข้ามแดนช่องทางธรรมชาติจากเมียนมาพร้อมเพื่อนอีก 2 คน นายกฯ จี้ดำเนินคดีพวกลักลอบมุดเข้าเมืองผิดกฎหมาย วอน ปชช.-อสม.ช่วยเป็นหูเป็นตา แต่อย่าตื่นตระหนก "อนุทิน" จวกเป็นความเห็นแก่ตัวของคนไม่กี่คนทำให้คนอื่นเดือดร้อนมากมาย สั่ง สธ.ดำเนินคดีทุกมาตรา ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ควงภาคเอกชนแถลงให้ความมั่นใจ หากใครติดเชื้อให้รายละ 1 แสนทันที

       เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศ ว่าพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 10 ราย โดยเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และพบในสถานกักกันที่รัฐจัดให้ ทุกรายเข้าสถานกักกันที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา 3 ราย, ซูดาน 1 ราย, รัสเซีย 4 ราย และปากีสถาน 2 ราย ซึ่งวันนี้มีผู้ป่วยรักษาหายเพิ่ม 2 ราย
      สำหรับจำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสมในประเทศ ล่าสุดอยู่ที่ 4,008 ราย เป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อภายในประเทศ 2,454 ราย และผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 1,554 ราย ส่วนผู้ป่วยรักษาหายแล้วเพิ่มอีก 8 ราย รวมเป็น 3,811 ราย ยังมีผู้ป่วยรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 137 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมคงที่ 60 ราย
    ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค แถลงพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่อีก 1 ราย ใน จ.เชียงราย เป็นหญิงไทย อายุ 25 ปี ภูมิลำเนา จ.พะเยา ซึ่งทำงานในสถานบันเทิงในประเทศเมียนมา แห่งเดียวกับหญิงไทยที่ จ.เชียงใหม่ และใน จ.เชียงราย ที่พบการติดเชื้อก่อนหน้านี้ โดยเดินทางจากเมียนมามาตามช่องทางธรรมชาติเมื่อวันที่ 24 พ.ย. พร้อมเพื่อนอีก 2 คนมาที่ อ.แม่สาย
    โดยเมื่อวันที่ 24-27 พ.ย. เข้าพักที่โรงแรมใน อ.แม่สาย ไม่ได้ออกจากห้องพักไปไหน สั่งอาหารทาง Grab ต่อมาวันที่ 28-30 พ.ย. ย้ายมาพักที่โรงแรมในเขต อ.เมืองเชียงราย ประสานเจ้าหน้าที่ขอมารับการตรวจ และในวันที่ 30 พ.ย. เข้าไปรับการกักตัว และทำการตรวจหาเชื้อ ผล SAR-COV-2 Detected ได้รับการส่งตัวมารักษาที่ห้องแยกโรค รพ.ศูนย์เชียงรายประชานุเคราะห์
    สำหรับผู้สัมผัสได้แก่ เสี่ยงสูง 4 ราย เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิด 2 ราย คือเพื่อนหญิงไทย อายุ 23 ปี ที่เดินทางกลับจากประเทศเมียนมาพร้อมผู้ป่วย ผลตรวจพบเชื้อ, พนักงานโรงแรมที่ขี่จักรยานยนต์พาผู้ป่วยไปร้านสะดวกซื้อ 1 ราย อยู่ระหว่างรอผลตรวจ ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอีก 2 รายคือ รถจักรยานยนต์รับจ้างจากหมู่บ้านต้นทางถึงโรงแรมใน อ.แม่สาย อยู่ระหว่างรอตรวจ, รถจักรยานยนต์รับจ้าง จาก อ.แม่สายไป อ.เมืองฯ และโรงพยาบาลเอกชน แต่ผลตรวจไม่พบเชื้อ ขณะที่ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 23 ราย แบ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ 20 ราย และแม่ค้าร้านอาหาร พนักงานร้านสะดวกซื้อ พนักงานโรงแรม
     นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัด สธ. กล่าวว่า การพบผู้ติดเชื้อโควิดทั้ง 4 รายใน จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย ยังอยู่ในภาวะควบคุมได้ และให้ความร่วมมืออย่างดี ไม่ได้มีการแพร่ระบาดรุนแรง
    ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการทบทวนมาตรการผ่อนผันกิจกรรมกิจการที่เกี่ยวข้องกับแรงงานต่างด้าว ภายหลังมีการพบการแพร่ระบาดโควิด-19 ว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นทุกที ตนเคยบอกแล้วว่าเราพยายามอย่างเต็มที่ไม่ให้คนเข้า-ออกนอกประเทศในช่องทางที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็ยังมีการลักลอบอยู่นั่นแหละ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ต้องดูว่าเมื่อมีการลักลอบ มีการแพร่ระบาด เราสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้หรือไม่ ติดตามตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องมาได้หรือไม่ ซึ่งมันมีกระบวนการอยู่แล้ว
สั่ง สธ.เอาผิดทุกมาตรา
    “อย่าลืมว่าเหตุที่เชียงรายและเชียงใหม่ ช่วงนี้เป็นช่วงไฮซีซั่น และเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น เขาก็มีการตรวจสอบไปกว่า 100 คนที่เกี่ยวข้อง ก็ไม่มีใครติด ซึ่งหญิงคนดังกล่าวนี้ก็ทราบกันดีว่าเขาไปทำอาชีพอยู่ฝั่งโน้นแล้วกลับมา ก็มีการมาพบปะกับผู้คนอีกเยอะแยะพอสมควร และนี่คือสิ่งที่ทุกคน สังคม ต้องช่วยกันดูแลว่าในชุมชนของตัวเองมีคนหน้าแปลกๆ เข้ามาหรือไม่ มาอย่างไร ก็ต้องไปสอบถามอาสาสมัคร (อสม.) ก็ไปช่วยถามช่วยตามว่ามาอย่างไร มีการตรวจสอบหรือเปล่า ติดโควิดหรือไม่ ซึ่งกรณีนี้ก็ต้องดำเนินคดีด้วย เพราะลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย แต่เราอย่าตื่นตระหนกกันจนเกินไป จนยกเลิกการจองโรงแรมกัน แล้วอย่างนี้ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ อยากให้สื่อเสนอข่าวที่เหมาะสม"
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ที่ผ่านมามีทั้งเรื่องการลักลอบข้ามแดน การติดเชื้อ การป้องกันการแพร่ระบาด การตรวจสอบ เราทำทุกอย่างแล้วขณะนี้ ก็เขาไม่ผ่านด่าน แล้วถามว่ามันกี่กิโลเมตร เจ้าหน้าที่ก็ดูแลเต็มที่ แล้วบางทีคนคนเดียวหรือสองคนมันก็มุดเข้ามาตรงโน้น ตรงนี้ก็ฝากไปดูตามแนวชายแดนให้ด้วยก็แล้วกัน
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ว่า ขณะนี้เรามีการตรวจซ้ำเพื่อขยายผลให้มากที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น เป็นความเห็นแก่ตัวของคนไม่กี่คน ที่ทำความเดือดร้อนให้กับประชาชนคนไทยอื่นๆ อีกมากมาย เนื่องจากเรามีการประกาศไม่รู้ต่อกี่ครั้งแล้ว ว่าห้ามเดินทางออกนอกประเทศ แต่ปรากฏว่ามีถึง 2-3 ราย หรือมากกว่ายังเดินทางเข้า-ออกเป็นว่าเล่นผ่านช่องทางธรรมชาติ ซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย และตนได้สั่งการไปที่สาธารณสุขจังหวัดให้ดำเนินการดำเนินคดีให้แรงที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่ทำร้ายบ้านเมือง ไม่ควรสงสารหรือให้ความชื่นชมคนที่ทำความเดือดร้อน ทั้งที่เรากำลังจะเปิดประเทศ แต่ต้องมาทบทวนวิธีการผ่อนคลายใหม่
    ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการจัดรถชีวนิรภัยพระราชทานไปตรวจในพื้นที่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า เรามีการส่งไปตลอด แต่เพราะความเห็นแก่ตัวของคนไม่กี่คนต้องทำให้เราเสียงบประมาณเพิ่มขึ้นมากมาย ทั้งที่ในความจริงหากกลับมาก็ควรกักตัว แต่กลับไปเที่ยวห้าง กินหมูกระทะ ไปหลับนอนอะไรเยอะแยะไปหมด และพอป่วยแล้วก็ไม่กล้าบอกความจริง ขอชื่นชมตำรวจและฝ่ายปกครองที่ไปตรวจสอบจากโทรศัพท์ถึงจะทราบว่าบุคคลดังกล่าว เดินทางไปที่ไหนมาบ้าง อยากบอกว่าบุคคลดังกล่าวนั้นแย่ ส่วนการดำเนินคดีนั้นจะใช้ทุกมาตรา อาทิ ลักลอบเข้าเมือง ผิด พ.ร.บ.โรคติดต่อ ไม่ปฏิบัติตามกฎการกักตัว 14 วัน แม้กระทั่งโรงแรมที่ให้พักอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายด้วย ทางสาธารณสุขจังหวัดจะเป็นผู้นำเรื่องแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดให้เป็นเจ้าภาพในการแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดี หรือหากมีช่องทางให้ สธ.สามารถดำเนินคดีได้ก็จะดำเนินการเอง
    เมื่อถามว่า หากมีการตรวจสอบพบผู้ป่วยเพิ่มจำเป็นต้องปิด จ.เชียงใหม่หรือไม่ รมว.สาธารณสุขกล่าวว่า เราควรไปตรวจสอบที่ช่องทางธรรมชาติ ตะเข็บชายแดนต่างๆ เพราะตามด่านนั้นไม่มีปัญหา และไม่มีทางหลุดรอดได้แน่นอน ส่วนการสร้างความมั่นใจให้ประชาชน ขอให้ใส่หน้ากากอนามัย อย่าไปตกใจกับสิ่งเหล่านี้ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนที่ระบาดใหม่ๆ วันนี้เราเข้าใจสถานการณ์ของโรคเป็นอย่างดี การตรวจสอบ ป้องกัน และควบคุมเราทำได้ดี และที่สำคัญเรามียา เวชภัณฑ์พร้อม โดยสรุปคือขณะนี้เรามีความพร้อมเป็นอย่างมาก และที่ผ่านมาเราคาดการณ์กันไว้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเกิดกับคนไทยด้วยกันเอง
เชียงใหม่จ่ายรายละ 1 แสน
    ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ตัวแทนจากภาคเอกชนคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน หอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมและองค์กรภาคธุรกิจด้านการท่องเที่ยวของ จ.เชียงใหม่ ร่วมกันแถลงข่าวยืนยันความมั่นใจในการเฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดย นายเจริญฤทธิ์กล่าวย้ำว่า ขณะนี้ทางจังหวัดได้ยกระดับมาตรการเฝ้าระวัง เพื่อดูแลจุดสุ่มเสี่ยง รวมถึงการติดตามผู้สัมผัสเสียงทุกระดับที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยรายที่ 42 ซึ่งผลการตรวจเชื้อทั้งหมดเป็นลบ 220 ราย ที่เหลือยังรอผล และได้นำเข้าสู่กระบวนการเฝ้าระวังคัดกรองตามมาตรฐานของกรมควบคุมโรคและ ศบค. โดยเฉพาะกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง 90 ราย อีกทั้งยังไม่มีสัญญาณการระบาดของเชื้อใดๆ ในเวลานี้ ดังนั้นกิจกรรมทุกด้าน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวหรือการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน ยังคงเป็นปกติ ไม่มีการล็อกดาวน์จังหวัด
    ในขณะที่นายแพทย์สาธารณสุข จ.เชียงใหม่ยืนยันว่า การตรวจค้นผู้สัมผัสเสี่ยง ได้ทำครอบคลุมทั้ง 312 ราย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงหลักที่เสี่ยงสูง 90 ราย เหลืออีกเพียง 2 รายที่อยู่ระหว่างการติดตามตัว ผลการตรวจเชื้อที่เป็นลบสร้างความมั่นใจ และเป็นสัญญาณที่ดีว่าไม่พบการระบาดเพิ่มอีก แม้ล่าสุดชาวพะเยาที่พบเชื้อเข้ามาพื้นที่ก็ได้ประสานตรวจสอบผู้สุ่มเสี่ยงทันทีแล้ว ยังไม่มีเบาะแสที่น่าห่วง
    ด้านนายพัลลภ แซ่จิว ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ถ้าหากผู้ใดหรือนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในเชียงใหม่ปฏิบัติตามมาตรการการเฝ้าระวัง ลงทะเบียนไทยชนะทุกครั้ง แล้วมีการติดเชื้อ ภาคเอกชนได้ลงขันเพื่อเป็นกองทุนเยียวยาให้รายละ 1 แสนบาททันที ซึ่งภาคเอกชนตกลงในการร่วมลงขัน ท้าให้เที่ยวเชียงใหม่ เพื่อสร้างความมั่นใจนักท่องเที่ยว
    ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องการอมเบี้ยเลี้ยงโควิด-19 ว่าเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งให้ทุกหน่วยเข้ามารายงานความคืบหน้า ว่าที่ ตร.สั่งให้กองบัญชาการต่างๆ ไปตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงนานกว่า 5 สัปดาห์ มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง เพราะเดิมขีดเส้นตายไว้ว่าต้องมีข้อยุติในวันที่ 30 พ.ย.
    สำหรับผลการตรวจสอบในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (บช.ภ.8) มีการภาคทัณฑ์ตำรวจ สภ.ป่าตอง ซึ่งโอนเงินผิดระเบียบไปที่สารวัตรการเงิน ทางการเงินก็โอนให้ตำรวจผู้มีสิทธิ์ทันที ก็เป็นการทำผิดระเบียบ แต่ไม่มีเจตนาทุจริต ส่วนที่ สภ.ทุ่งสง โอนถูกระเบียบ แต่ให้ผู้มีสิทธิ์ถอนเงินออกมา ภายหลังมีการคืนเงินกันไปหมดแล้ว โดยคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงของภาค 8 สั่งกักยามสารวัตรการเงินทั้งหมด รวมทั้งกักยาม พ.ต.อ.สมพงศ์ ทิพย์อาภากุล ผกก.ทุ่งสง เป็นเวลา 3 วัน และ บช.ภ.8 อยู่ระหว่างพิจารณากักยามเพิ่มเติมอีก 15 วัน ส่วนกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และกองบัญชาการภาค 1-9 ทาง ผบ.ตร. เร่งรัดให้สืบสวนข้อเท็จจริงโดยเร็ว และรายงานผลให้ทราบภายใน 10 วัน.
   


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"