“ธรรมะ” และ “พระบารมี”


เพิ่มเพื่อน    

 

                                             (1)

                วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา...ถือเป็นวัน พระราชสมภพ ของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หรือพูดง่ายๆ แบบชาวบ้านๆ ก็คือเป็นวันคล้ายวันเกิดของ ล้นเกล้าในหลวงรัชกาลที่ 9 ผู้ซึ่งได้เสด็จสวรรคตไปเมื่อไม่นานมานี้ โดยได้ถูกยกระดับให้เป็นวันสำคัญของประเทศ ทั้งเป็น วันชาติ และ วันพ่อแห่งชาติ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี ความรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงเคยมอบให้กับชาติ บ้านเมือง มาโดยตลอด...

                                                        (2)

                โดย ตบะ และ บารมี ที่ล้นเกล้าในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านได้ทรงสะสมไว้นั้น...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้นั่นแหละว่ามากมาย มหาศาล ปานภูเขาเลากา นับตั้งแต่เบื้องต้น-เบื้องกลาง-และเบื้องปลาย อย่างชนิดมิคิดจะเบี่ยงเบนไปเป็นอื่น หรือนับแต่ได้ทรงเอ่ยคำประกาศ อันเป็นปฐมบรมราชโองการ ว่า...เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็เป็นไป ตามนั้น มาโดยตลอด  จน พระบารมี ที่ประกอบไปด้วย ธรรม ระดับครบถ้วน สมบูรณ์ ไปแทบทั้ง 10 ประการ หรือเป็นไปตาม ทศพิธราชธรรม จึงเป็นพระบารมีที่เผลอๆ...มากกว่า ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ซะยิ่งกว่า พระราชอำนาจ แผ่ซ่าน ขจรขจาย ไปแทบทุกทิศทุกทาง ชนิดไม่ใช่แต่เฉพาะภายในประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาเท่านั้น แม้แต่ฝรั่ง เจ๊ก จีน จาม มอญ พม่า ฯลฯ ก็แทบไม่คิดจะปฏิเสธ...

                                                       (3)

                และโดย ตบะ, บารมี ทำนองนี้นี่เอง...ที่ใครจะไปแตะ ไปกล่าวหา กล่าวร้าย ในทาง ลบ แทบไม่ได้เอาเลย คือไม่ใช่เพราะเกรงในพระราชอำนาจ ในแสงดาบศาสตรา หรือแม้แต่ในตัวบทกฎหมายใดๆ ที่ก็ไม่ได้ประดิษฐ์ คิดค้น ขึ้นมาโดยพระองค์เองอีกนั่นแหละ แต่ด้วยเหตุเพราะโอกาสที่จะ แพ้ภัยตัวเอง แพ้ทาง แพ้บารมี หนีไม่พ้นต้องพังพินาศ ฉิบหาย วายวอด วายป่วง ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ไม่ว่าใครก็ใครเลยมักไม่ค่อยคิดจะไปแตะ ไปต้อง พร้อมที่จะยอมรับสภาพการดำเนินไปตามครรลอง คลองธรรม ของอดีตพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ อันไม่ต่างอะไรไปจากการยอมรับการมีอยู่ การดำรงอยู่ ของ ธรรมะ ไปโดยปริยาย...

                                                        (4)

                พูดง่ายๆ ว่า...กระทั่งครั้งเมื่อ ลัทธิคอมมิวนิสต์ ยังคงมาแรง แซงโค้ง เป็นที่สนอก สนใจ เตะตา เตะใจ ใครต่อใครในระดับแทบจะทั่วทั้งโลก หรือโดยเฉพาะในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แถบอินโดจีน ก็แล้วแต่ แม้แต่ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หรือ พคท. ที่โดยแนวคิด แนวนโยบาย อาจออกไปทางตรงกันข้ามกับการมีอยู่ ดำรงอยู่ ของสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่บรรดาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยทั้งหลาย โดยเฉพาะระดับเบิ้มๆ ระดับโปลิตบูโร หรือระดับที่พอรู้ พอเข้าใจ ถึงการได้ การเสีย ในการดำเนินงานทางการเมือง การเคลื่อนไหว ปลุกระดมมวลชน ฯลฯ ใดๆ ก็แล้วแต่ ยังไม่คิดจะ แตะ ไม่คิดจะกล่าวหา กล่าวร้าย ต่อล้นเกล้าในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยเฉพาะในแบบตรงไป-ตรงมา...

                                                        (5)

                เพราะต่างเป็นที่รับรู้กันอยู่แล้วว่า...ก็คงไม่ต่างไปจากการกล่าวหา กล่าวร้าย ในสิ่งที่ถูกต้อง-เป็นธรรมนั่นเอง อันรังแต่จะส่งผลให้ตัวเองต้องตกเป็นฝ่าย อธรรม ไปซะฉิบ!!! หรือมีแต่จะทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในฐานะผู้ร้าย ดาวร้าย เสียรังวัด เสียการเมืองโดยใช่เหตุ ตลอดช่วงระยะกว่า 40-50 ปีของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จึงแทบไม่ได้ก่อให้เกิดแรงเสียดสี แรงปะทะ กับพระมหากษัตริย์ อย่างตรงไป-ตรงมา และโดยตัวของพระมหากษัตริย์เอง พระองค์ก็ไม่ได้คิดจะสู้ คิดเอาชนะ คิดหักโค่นทำลายบรรดาคอมมิวนิสต์ทั้งหลายเอาเลยแม้แต่น้อย แต่พยายามหันไปสู้กับ ศัตรูที่แท้จริง หันไปต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจน ความทุกข์ระทม ของพสกนิกรและราษฎรทั้งหลาย ตั้งแต่เหนือจรดใต้ เป็นสำคัญ...

                                                      (6)

                ด้วยเหตุนี้...การที่บรรดา เด็กๆ ประเภทละอ่อน สอนขัน บางราย ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดทัน-เกิดไม่ทัน ช่วงระยะการครองราชย์ของล้นเกล้าในหลวงรัชกาลที่ 9 แต่ดันคิดไปแตะ ไปข้องแวะในทางร้ายๆ ต่อพระองค์ท่าน มันเลยก่อให้เกิด แรงปฏิกิริยา ที่น่าห่วง น่ากังวล มิใช่น้อย โดยไม่ว่าจะก่อให้เกิดผลในทางลบต่อเขาเหล่านั้น ในลักษณะใดๆ ก็ตามที แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิด ผลสะท้อน ในแบบฉับพลัน-ทันที ก็คือส่งผลให้บรรดาเด็กๆ เหล่านั้น กลายสภาพเป็น เด็กอาจารย์กู้ เป็นเด็กที่น่าเกลียด น่าทุเรศ เวทนา กลายเป็นฝ่าย อธรรม หรือเป็นพวกที่ บ้าเลือด-ป่าเถื่อน-หยาบคาย-ไร้ความรอบคอบ-มีแต่ความอาฆาตมาดร้าย-ไร้ศีลธรรม-ไร้หิริโอตตัปปะ-ไม่เคยสำนึกถึงความกตัญญูกตเวที อย่างที่คุณทวด ไซรรงค์ ท่านได้ให้คำนิยามต่อบรรดา เด็กเลว ทั้งหลายเอาไว้นั่นแล...

                                                    (7)

                พูดง่ายๆ ว่า...สะท้อนให้เห็นถึงความโง่ ความเลอะเทอะ เปรอะเปื้อน รวมทั้งความ อันตราย โดยเฉพาะถ้าหากบรรดาเด็กๆ เหล่านี้ ดัน เราชนะแล้ว...แม่จ๋า ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ตามที ด้วยเหตุนี้...ใครก็ตามที่ยังพยายามเข้าไปข้องแวะ เกี่ยวข้อง โยงใย พยายาม เลียตูดเด็ก อย่างไม่คิดจะลด-ละ-เลิก ไม่คิดจะให้คำแนะนำ ตักเตือน โดยมี ความปรารถนาดี เป็นที่ตั้ง ย่อมแทบไม่ต่างอะไรไปจากกัน คือทั้งโง่ ทั้งเลอะเทอะ และทั้งเป็น อันตราย ต่อส่วนรวม ต่อชาติบ้านเมือง อย่างเห็นได้โดยชัดเจน...

                              ---------------------------------------------------------------

 

 

 

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"