ผวาวัคซีนการเมือง สะพัด!แอสตร้าฯไม่สบายใจ/สถาบันแจงแค่คุยข้อกม.


เพิ่มเพื่อน    

 

ผอ.วัคซีนดอดพบเลขาฯ นายกฯ ที่ทำเนียบฯ แจ้งเหตุ สธ.ยกเลิกแถลงมอบทะเบียนวัคซีนหลัง “ธนาธร” โยงเข้าการเมือง หวั่นกระทบการจัดซื้อ บ.แอสตร้าฯ อาจทบทวนการส่งมอบวัคซีนตามแผนเดิม ก่อนร่อนแถลงการณ์แจงแค่คุยเรื่องกฎหมาย “แรมโบ้” จวก “ธนาธร” อย่าเอาวัคซีนรักษาชีวิต ปชช.มาตีกินทางการเมือง “หมอพรทิพย์” จี้ เจ้าหน้าที่ใช้กฎหมายเด็ดขาดกับคนให้ร้ายพระมหากษัตริย์ “ส.ส.ก้าวไกล” รับลูก ท้าเปิดสัญญาพาไปดูโรงงานสยามไบโอไซเอนซ์ ซูเปอร์โพลจี้ทอนเคลียร์ข้อสงสัยปม "เรือยอชต์-แม่บุกรุกที่ดิน-เงินบริจาค”

    ที่ทำเนียบรัฐบาล ในช่วงสายวันที่ 22 มกราคม นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เรียก นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เพื่อสอบถามสาเหตุที่กระทรวงสาธารณสุขยกเลิกการแถลงข่าวเกี่ยวกับการรับมอบทะเบียนวัคซีนจากบริษัท แอสตร้า เซนเนก้า จำกัด
    รายงานข่าวแจ้งว่า นพ.นครได้ปรารภกับคนใกล้ชิดว่า กรณีที่ต้องยกเลิกแถลงข่าวเป็นเพราะทางบริษัท แอสตร้า เซนเนก้าฯ มีความกังวล หลังนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กดดันให้มีการเปิดสัญญาการจัดซื้อวัคซีนกับรัฐบาลไทย จนทำให้บริษัทดังกล่าวที่เป็นบริษัทมหาชนในประเทศอังกฤษเกิดความไม่สบายใจ เพราะไม่อยากพัวพันกับการเมือง จึงไม่อนุญาตให้ผู้แทนของบริษัทประจำประเทศไทยร่วมแถลงข่าว และหลังจากนี้บริษัทดังกล่าวอาจพิจารณาทบทวนท่าทีต่อการผลิตและการส่งมอบวัคซีนให้กับประเทศไทยตามแผนเดิม ซึ่งคาดการณ์ว่า นพ.นครจะนำเหตุผลดังกล่าวชี้แจงต่อนายดิสทัต
    ต่อมาเวลา 19.35 น. สถาบันวัคซีนแห่งชาติออกแถลงการณ์ข้อเท็จจริงการเข้าพบเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตามที่มีข่าวของสื่อมวลชนกรณี นพ.นคร พร้อมด้วยเลขาธิการ อย. เข้าพบนายดิสทัต ที่ทำเนียบรัฐบาล เป็นการเข้าร่วมชี้แจงในเรื่องกระบวนการขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยว่า มีขั้นตอนของกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างไร และการควบคุม กำกับคุณภาพของวัคซีนที่จะมีผู้มาขอขึ้นทะเบียนไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นการแถลงข่าวใดๆ และไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมืองหรือความไม่พอใจของบริษัท แอสตร้า เซนเนก้าฯ แต่อย่างใด ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนรักษาจรรยาบรรณและการเป็นนักสื่อสารที่ดีไม่ควรเสนอข่าวที่ไม่มีแหล่งข่าวที่อ้างอิงได้ รวมทั้งขอให้ลบข่าวเท็จจริงออกจากช่องทางสื่อสารทั้งหมด
    ด้านนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การจัดซื้อวัคซีนโควิดและรัฐบาลแจ้งความ ม.112 เพื่อปิดปากว่า ไม่มั่นใจสิ่งที่นายธนาธรออกมาพูดนั้นเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่ เพราะสวนทางกับพฤติกรรมที่ผ่านมาของนายธนาธร ที่ล้วนแต่ทำไปเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง และบางอย่างอาจนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคม ยืนยันการจัดหาวัคซีนโควิดเป็นไปตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรี โปร่งใส 100% ส่วนการแจ้งความมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทำในนามส่วนตัว ไม่ได้เป็นการสั่งการจากนายกฯ เพราะผมและคณะทนไม่ได้กับพฤติกรรมของนายธนาธร ที่มีการพูดจาบจ้วงสถาบัน พยายามดึงสถาบันมาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง ถือเป็นการทำผิดกฎหมายมาตรา 112 อย่างชัดเจน
    “อย่าทำตัวเป็นลูกคุณหนูเอาแต่ใจตัวเอง เพราะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่ด้วย ไม่ใช่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจก็โทษคนอื่นโทษการเมือง ทำตัวเป็นคนเนรคุณแผ่นดินเกิดของตัวเอง ไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณก็ไม่สมควรอยู่ในประเทศนี้อีกต่อไป อย่าได้เอาวัคซีนที่รัฐบาลเอามารักษาชีวิตประชาชนมาโยงใยเล่นตีกินทางการเมืองและทำลายสถาบัน เพราะประชาชนคนไทยจะสาปแช่งให้วิบัติ มีอันเป็นไป ซึ่งไม่ผลเป็นดีต่อครอบครัวของนายธนาธรเอง แผ่นดินไทยสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ใครคิดร้ายต่อแผ่นดินและบ้านเมือง บาปกรรมมีจริง นรกมีจริง ไม่ต้องไปรอรับกรรมในชาติหน้า แต่จะได้รับผลกรรมตามทันในชาตินี้อย่างแน่นอน ไม่เชื่อรอดู” นายสุภรณ์กล่าว
จี้ใช้ กม.อย่างเด็ดขาด
      นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายธนาธรระบุว่ารัฐบาลกลั่นแกล้ง ตามบี้คดีน้องชายติดสินบนเจ้าหน้าที่สำนักทรัพย์สินฯ และเรือ ยอชต์ซื้อมือสอง ไม่ได้จดทะเบียนเอง อีกทั้งถูกวางเพลิงว่า ยืนยันว่ารัฐบาลไม่เคยกลั่นแกล้งใคร พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ของคนไทยทุกคน ไม่เลือกปฏิบัติ ทุกอย่างเท่าเทียม เสมอภาค คดีน้องชายนายธนาธรเป็นไปตามปกติ รัฐบาลไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย และคดีนี้มีความชัดเจน เพราะมีหลักฐาน ส่วนเรือยอชต์เลี่ยงภาษีจะเป็นการวางเพลิงหรือไม่นั้น รัฐบาลก็ไม่เกี่ยวข้อง แต่สังคมรับไม่ได้ที่มีการเลี่ยงภาษี หลายสิ่งหลายอย่างที่นายธนาธรกระทำเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่พอเรื่องแดงก็มักจะหาทางออกโดยการกล่าวหารัฐบาลกลั่นแกล้ง ขอให้กลับตัวกลับใจ ดูองคุลิมาลเป็นตัวอย่าง สังคมยังให้อภัย สำหรับการจัดหาวัคซีนนั้น นายธนาธรควรหยุดบิดเบือนได้แล้ว ประชาชนเข้าใจแล้ว โปร่งใสตรวจสอบได้ หัดคิดดีทำดีให้กับประเทศบ้าง
    แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า เมื่อคืนฟังตรงจากการสัมภาษณ์ก็ได้เห็นการแถ การให้ร้ายแบบจงใจตั้งใจ และเมื่อมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นตามภาพ ยืนยันได้ว่ากลุ่มการเมืองใหม่ตั้งใจทำอะไรให้แผ่นดินนี้ดูเหมือนในหัวจะมีความจงเกลียดจงชังพระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีคุณูปการต่อแผ่นดินไทยมากมาย ความหลงผิดเช่นนี้ผลกรรมที่รับไม่ยากที่จะมองเห็น แต่สิ่งที่น่าอึดอัดใจก็คือผู้นำและเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่มีสัญญาณชัดเจน เรื่องแบบนี้มัวแต่ใช้ความกลัว (กลัวผิดตัวบทกฎหมาย) แทนที่จะใช้ความกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ปล่อยให้พระองค์ถูกย่ำยีมาตลอด เรื่องนี้สำคัญยิ่ง ควรมีความเด็ดขาด คนกลุ่มนี้อ้างว่าตั้งใจอยากพัฒนาประเทศ แต่ตลอดเวลาไม่เคยเห็นการกระทำที่ให้กับแผ่นดิน มีแต่การบ่อนทำลายและการทำลาย
    นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ขอสอนธนาธร ถ้าจำกันได้ ตั้งแต่เริ่มเป็นนักการเมือง เขาให้แสดงความโปร่งใส แต่ตนเองใช้ไบลด์ทรัสต์ เขาจะทำรถไฟความเร็วสูง แต่ตนเองจะทำไฮเปอร์ลูป เขาแจก 5,000 บาท แต่ตนเอง 3,500 บาทถ้วนหน้าโดยไม่สูจน์ความจน มาถึงเรื่องวัคซีนโควิด ก็พยายามสื่อสารว่ามีบางประเทศจัดหาได้ถึง 200-300 เปอร์เซ็นต์ของประชากร เพื่อมาเกทับประเทศไทย ก็รับรู้ว่ารู้ไม่จริงและบิดเบือน ด้วยหลักการฉีดวัคซีน ในเชิงวิชาการของโรคระบาด ไม่มีใครฉีด 100% ของประชากร เขาฉีดประมาณ 60-80% ของประชากร เพราะจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ตามมา การที่บอกว่าบางประเทศจัดหา 200-300% ของประชากร จึงพูดแบบมั่วๆ
    นพ.วรงค์ระบุว่า ขณะนี้วัคซีนโควิดยังไม่มีการทดลองในเด็ก จึงยังไม่มีประเทศไหนในโลกนี้ฉีดในเด็ก แม้แต่ไฟเซอร์ เพิ่งจะเริ่มงานวิจัย ไม่นาน ที่จะทดลองฉีดในเด็กอายุ 12 ปี และวิจัยในเด็กอายุ 15-16 ปี ในปัจจุบันเขาจึงห้ามฉีดในเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี  ประเทศเรามีประชากรประมาณ 66 ล้านคน ถ้าตัดเด็กอายุ 16 ปีลงมา จะเหลือประมาณ 55 ล้านคน หลักการฉีดวัคซีนและให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ คิดที่ 60% เท่ากับว่าเราจะฉีด 33 ล้านคน ขณะนี้เราสั่งวัคซีนแล้วของแอสตร้า เซนเนก้า 26 ล้านโดส ของซิโนแวค 2 ล้านโดส ที่สำคัญการฉีดให้คนหลายสิบล้าน ต้องใช้เวลาหลายเดือน ดังนั้น ในทางวิชาการจึงไม่ใช่เลวร้ายอย่างที่นายธนาธรนำเสนอให้ประชาชนเข้าใจผิด แนะนำให้ออกมาเคลียร์ปมที่ประชาชนเคลือบแคลงสงสัย เช่น การบุกรุกป่าของมารดาของนายธนาธร ภาษีเรือยอชต์ การปลดพนักงาน แรงงานของบริษัท เงินบริจาคช่วยเหยื่อโควิดที่แจกไม่หมดนำไปใช้จ่ายอย่างอื่น น่าจะดูดีกว่า
ก้าวไกลท้าไปดูโรงงานไบไอไซฯ
    น.ส.สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ส.ส.นครปฐม พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ตอบกระทู้ถามของนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เรื่องความหละหลวมของรัฐบาลที่ปล่อยให้เกิดการระบาดของเชื้อโควิด-19 และขอให้เปิดเผยสัญญาว่าจ้างผลิตวัคซีนระหว่างบริษัท แอสตร้า เซนเนก้าฯ กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ซึ่งตอนหนึ่งนายสาธิตระบุว่า วัคซีนไม่ใช่ความเป็นความตายของประชาชนนั้น จริงอยู่ว่าถ้าไม่ได้รับวัคซีน ประชาชนก็คงจะยังไม่ตายตอนนี้จากการติดเชื้อโควิด แต่พวกเขาจะอดตายเพราะความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารของรัฐบาลชุดนี้ วันนี้เมื่อเรายังไม่มีการฉีดวัคซีน ก็เหมือนยังอยู่ในความมืดมิดต่อไป เพราะผู้คนก็ยังไม่กล้าใช้ชีวิตตามปกติ เชื่อว่าการมีวัคซีนนั้นจะทำให้การดำเนินชีวิตของประชาชนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทำให้ต่างชาติมั่นใจกลับมาท่องเที่ยวมาลงทุน ฟื้นฟูประเทศได้ ยิ่งมีวัคซีนช้าเท่าไหร่ ประเทศก็จะยิ่งบอบช้ำมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
    น.ส.สุทธวรรณกล่าวด้วยว่า การที่บอกปัดเรื่องการเปิดเผยสัญญาที่เกี่ยวกับการจัดหาวัคซีนทั้งหมด และให้ไปเปิดดูในเว็บไซต์สถาบันวัคซีนแห่งชาตินั้น ทำไมต้องไล่ประชาชนไปเปิดในเว็บไซต์ ซึ่งตนก็ได้ไปลองดูแล้วใช้เวลาอยู่นานพอสมควรก็ยังไม่เห็นสัญญาที่ท่านบอกนั้นเลย รัฐบาลก็ควรถือโอกาสนี้เปิดสัญญาให้ประชาชนเห็น รวมถึงเปิดเผยความพร้อมของสยามไบโอไซเอนซ์ โดยอาจจะเชิญสื่อมวลชน เชิญคนที่มีคำถามไปดูงานถึงโรงงานเลยจะยิ่งเป็นการช่วยทำให้ประชาชนมั่นใจยิ่งขึ้น ดิฉันและ ส.ส.พรรคก้าวไกล และรวมถึงคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็คงจะยินดีไปร่วมชมโรงงาน ชมความพร้อมของนวัตกรรมเทคโนโลยีของบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ฯ ด้วยกัน
    ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ 'เพนกวิน' พร้อม น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง สองแกนนำคณะราษฎร เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ทองศูนย์ อุ่นวงศ์ รอง ผบก.ปอท. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกคดีมาตรา 112 จากกรณีโพสต์ข้อความทางสื่อออนไลน์ในลักษณะหมิ่นเหม่สถาบัน โดยนายพริษฐ์กล่าวว่า ไม่ทราบรายละเอียดว่าเหตุมาจากการโพสต์ในวันและเวลาใด มองว่าการแจ้งข้อกล่าวหามาตรา 112 เหมือนการกลั่นแกล้ง จึงอยากเรียกร้องขอให้ทบทวนเรื่องการใช้กฎหมายมาตรา 112 กับประชาชน เนื่องจากมีประมวลกฎหมายอาญามาตราอื่นที่สามารถเอาผิดกับประชาชนได้ ส่วนคดี 112 จนถึงขณะนี้ตนถูกแจ้งความรวมทั้งสิ้น 17 คดี ส่วนกรณีของ น.ส.ปนัสยานั้น ทราบว่ามาจากการแชร์ข้อความของตนจึงถูกหมายเรียกคดีเดียวกัน โดย น.ส.ปนัสยาถูกดำเนินคดีรวมทั้งสิ้น 9 คดี
         ต่อมาเวลา 11.00 น. นายอานนท์ นำภา ในฐานะทนายความ ได้พาเยาวชนหญิงชาว จ.ขอนแก่น อายุ 17 ปี มาเข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปอท. ตามหมายเรียกคดี ม.112 ด้วยเช่นกัน โดยนายอานนท์กล่าวว่า กรณีของเยาวชนหญิงชาว จ.ขอนแก่นนั้น น่าจะมาจากการโพสต์เฟซบุ๊ก แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นโพสต์ข้อความใด และก็ไม่ทราบว่าเป็นการเรียกมาดำเนินข้อหาใดบ้าง จึงยังไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดได้ ส่วนคดีของตนถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ไปแล้วรวมทั้งสิ้น 8 คดี
โพลจี้ทอนเคลียร์ปมส่วนตัว
    ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายเอกชัย หงส์กังวาน, นายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และนายสุรนาถ แป้นประเสริฐ หรือตัน ผู้ประสานงานเครือข่าย เยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง (Active Youth) สามผู้ต้องหาที่ถูกแจ้งข้อหาประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินีฯ ตาม ป.อาญา ม.110 กับข้อหามั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ และกีดขวางการจราจรฯ กรณีชุมนุมใกล้ขบวนเสด็จพระราชินี เมื่อวันที่ 14 ต.ค.2563 เดินทางมาตามที่ตำรวจนัดส่งตัวพร้อมสำนวนคดีต่ออัยการ อย่างไรก็ตาม คดียังมีผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 2 คนภายหลัง รวมเป็นทั้งหมด 5 คน  ทราบชื่อผู้ต้องหาอีก 2 ราย คือนายชนาธิป ชัยชะยางกูร และนายภาณุภัทร ไผ่เกาะ ภูมิลำเนา จ.นครราชสีมา ถูกแจ้ง 3 ข้อหาเช่นเดียวกัน ได้ขอเลื่อนนัดส่งตัวพร้อมสำนวน เนื่องจากไม่ได้รับหมายจากพนักงานสอบสวน และตัวอยู่ต่างจังหวัด จึงไม่สะดวกเดินทางมาในวันนี้ ดังนั้นนักงานอัยการจึงให้เลื่อนนัดส่งสำนวนคดีนี้ออกไปก่อน
    นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนามเรื่อง พรรคตั้งใหม่ หัวใจประชาชน กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,278 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 19-21 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.6 เห็นด้วยว่า สังคมไทยจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข คนในชาติต้องออกมาปกป้องสถาบันหลักของชาติ ในขณะที่เพียงร้อยละ 1.4 เท่านั้นไม่เห็นด้วย ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.2 ระบุการเมืองที่กำลังคุกคามสถาบันหลักของชาติ กำลังซ้ำเติมวิกฤติชาติ ความทุกข์ยากและสร้างความแตกแยกของคนในชาติช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติโควิด ในขณะที่เพียงร้อยละ 7.8 ระบุไม่คุกคาม ไม่ซ้ำเติม
    นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 96.6 แนะนำให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกมาเคลียร์ปมที่ประชาชนเคลือบแคลงสงสัย เช่น การบุกรุกป่าของมารดาของนายธนาธร ภาษีเรือยอชต์ การปลดพนักงาน แรงงานของบริษัท เงินบริจาคช่วยเหยื่อโควิดที่แจกไม่หมดนำไปใช้จ่ายอย่างอื่น เป็นต้น ในขณะที่ร้อยละ 3.4 ไม่แนะนำ
    อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.4 สนับสนุนพรรคไทยภักดี ของนายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ที่ออกมาปกป้องรักษาสถาบันหลักของชาติ ในขณะที่ร้อยละ 8.6 ไม่สนับสนุน ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงพรรคการเมืองตั้งใหม่ ที่ชื่นชอบในหัวใจประชาชน พบว่า อันดับแรกได้แก่พรรคไทยภักดี ร้อยละ 22.2 อันดับที่สอง ได้แก่พรรคกล้า ร้อยละ 19.2 และอันดับที่สามได้แก่ พรรคไทยสร้างไทย ร้อยละ 18.7 ตามลำดับ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"