บทรำพึงของชายชรา


เพิ่มเพื่อน    

                                               (1)

                น่าจะเป็นความแก่ ความชรา นั่นแหละ...ที่มีส่วนเอามากๆ ในการทำให้เกิดความรู้สึก ปลง อะไรต่อมิอะไรหนักขึ้นๆ ไปตามลำดับ แทบไม่ได้มีอะไรใหม่ อะไรแปลก อะไรที่น่าตื่นเต้ลล์ล์ล์เร้าใจ หรืออะไรที่น่าเกลียด น่าขยะแขยง คล้ายๆ แต่ละสิ่งแต่ละอย่าง ชักจะหนักไปทาง มันเป็นเช่นนั้นเอง-มันเป็นพรรค์นั้นแหละ หรือหนักไปทาง ตถาตา ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

                                                       (2)

                ในด้านหนึ่ง...ก็อาจถือเป็นอารมณ์-ความรู้สึก ที่ค่อนข้างเหมาะสมกับวัย สอดคล้องกับสรีระและสังขาร อย่างมิพึงจะปฏิเสธ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็อาจส่งผลให้ ไม่รู้จะพูดอะไร หรือ ไม่รู้จะเขียนอะไร ที่มันจะเหมาะสม-สอดคล้องไปกับภาวะความเป็นไปของสังคม ที่ยังคงหมกมุ่น เมามันซ์ซ์ซ์ กับสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ สิ่งที่น่าตื่นเต้ลล์ล์ล์ น่ารัก น่าชื่นชม น่าเกลียด น่าขยะแขยงได้ในแบบแทบจะทุกจังหวะ ทุกนาที หรือทุกวินาทีเอาเลยก็ไม่แน่!!!

                                                      (3)

                เท่าที่เคยสังเกต...แม้แต่ อภิมหาพระ อย่าง ท่านพุทธทาสภิกขุ ดูเหมือนว่าช่วงปลายๆ นั้น ท่านแทบไม่ได้คิดจะ เทศน์ หรือคิดจะเขียนโน่น เขียนนี่ แบบที่เคยทำๆ มาแทบตลอดช่วงชีวิตตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ไม่ว่าใครไปถาม ไปสัมภาษณ์ หรือไปซักไซ้ไล่เลียงอะไรก็แล้วแต่ การแสดงออกถึงปฏิกิริยา หรือความคิด ความเห็น ของอภิมหาพระท่านนี้ ดูจะถูกสรุปเอาไว้แบบห้วนๆ สั้นๆ ด้วยเพียงคำพูดแค่ไม่กี่คำ หรือไม่กี่พยางค์เท่านั้น คือคำว่า อย่าเห็นแก่ตัว-อย่าเห็นแก่ตัว นั่นแหละเป็นหลัก อันถือเป็นสิ่งที่ครอบคลุมความผันผวน ปรวนแปร ความเป็นไปในทุกๆ เรื่อง ทุกๆ รูป ทุกๆ แบบ และทุกๆ เนื้อหา ที่เคลื่อนไหวไป-มา ในแบบไม่ได้มีอะไรใหม่ ไม่มีอะไรแปลก มีแต่ ตถาตา หรือมีแต่ มันเป็นเช่นนั้นเอง-มันเป็นพรรค์นั้นแหละ ไปโดยตลอด...

                                                       (4)

                และจะด้วยอารมณ์ทำนองนี้ หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้...เลยทำให้หลังๆ มานี้ แทบไม่รู้จะ พูดอะไร หรือจะ เขียนอะไร ในการแสดงออกถึงปฏิกิริยาต่อสรรพสิ่งต่างๆ ที่เคลื่อนไหวไป-มา ที่ขึ้นๆ-ลงๆ ไม่ว่ามันจะเป็นของแปลก ของใหม่ ของที่ผู้คนกรี๊ดกร๊าด ซู้ดซ้าด หรือของที่ผู้คนรังเกียจ เดียดฉันท์ อันเป็นอารมณ์-ความรู้สึกที่ออกจะ แสลง กับการต้องทำหน้าที่เขียนโน่นเขียนนี่ หรือแสดงความเห็นโน่นๆ นี่ๆ แบบชนิดวันต่อวัน หรือแบบสองเรื่องต่อวัน อยู่พอสมควรเหมือนกัน เพราะไม่ว่าจะเขียนไป-เขียนมา แบบไหนต่อแบบไหน หรือจะแสดงความคิด-ความเห็นอะไรต่อมิอะไร สุดท้าย...หนีไม่พ้นต้องวนไป-วนมา อยู่กับคำพูดสั้นๆ ข้อสรุปสั้นๆ แค่ไม่กี่พยางค์ ไม่กี่ประโยค ตามแบบฉบับของ ท่านพุทธทาสฯ นั่นแหละ คือ...อย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่ตัว และอย่าเห็นแก่ตัว...

                                                      (5)

                การที่ความแก่-ความชรา...มันออกจะมีส่วนในการสร้างอารมณ์-ความรู้สึกทำนองนี้ เลยมีทั้ง ส่วนดี และ ส่วนไม่ดี ควบคู่กันไปอย่างมิอาจปฏิเสธ คือในส่วนดีนั้น...อย่างที่ว่าเอาไว้แล้ว ว่ามันเป็นสิ่งที่ค่อนข้างสอดคล้องและเหมาะสมกับวัย กับสรีระและสังขาร เพราะโดยการผ่านร้อน-ผ่านหนาว ผ่านประสบการณ์นานาชนิด จนแทบกรอบเป็นข้าวเกรียบไปทั้งเนื้อ ทั้งตัว ทั้งภายนอกและภายใน มันเลยทำให้เกิดอาการ ปลง ในแทบทุกสิ่งทุกอย่าง แทบทุกเรื่อง ทุกราว แต่ก็ด้วยเพราะอาการ ปลง ในแบบที่ว่านี้นี่เอง มันก็อาจมี ส่วนไม่ดี ในแง่ที่ทำให้ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เขียนอะไร หรือควรจะชี้แนะ ชี้นำ แบบไหนต่อแบบไหน มันถึงพอจะช่วยให้เกิดการ ยังประโยชน์ต่อผู้อื่น มากมายเกินไปกว่านี้ เพราะมีแต่ต้องพูดซ้ำ พูดซาก แถมอาจต้องพูดห้วนๆ เหลือเพียงแค่ข้อความไม่กี่ประโยค ไม่กี่พยางค์ ดังที่ว่าเอาไว้แล้ว...

                                                        (6)

                แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ถูกนำมาพูด มาเขียน หรือกระทั่งนำมา เทศน์ ไม่ว่าสั้นจุ๊ดจู๋ขนาดไหน หรือยาวอีเหลนเป๋นเพียงใด เอาเข้าจริงๆ แล้ว...ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการพูดซ้ำ พูดซาก หรือพูดแล้วก็พูดอีก ของบรรดาคนแก่ คนชรา หรือคนที่ ปลง แล้วทั้งหลาย ในแต่ละรุ่นแต่ละรุ่นสืบต่อกันมาโดยตลอดนั่นเอง ไม่ใช่แต่เฉพาะอภิมหาพระอย่าง ท่านพุทธทาสฯ หรือบรรดา เกจิอาจารย์ ที่มีอยู่ทั่วโลกและทั่วประเทศไทย แต่สามารถย้อนกลับไปถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาเลยก็ว่าได้ ที่ทรงตรัสแล้วตรัสอีก และสิ่งที่ได้ทรงตรัสไว้แล้วทั้งสิ้น ทั้งปวงนั่นเอง ที่ถูกหยิบมาพูดใหม่ พูดซ้ำและพูดซาก มาโดยตลอด 2,500 กว่าปีไปแล้วก็ว่าได้ แต่สุดท้าย...มันอาจไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เจริญขึ้น อย่างเท่าที่ควรจะเป็น เผลอๆ...อาจเลวลง เสื่อมลง ใกล้สูญสลายหายไปจากความทรงจำ หรือค่อยๆ ลดระดับความสำคัญลงไปเป็นขั้นๆ เอาเลยก็ไม่แน่...

                                                           (7)

                แต่ทำไงได้...ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่าง มันย่อมต้องเป็นไปตามแบบฉบับของมัน ต้องเป็นเช่นนั้นเอง ต้องเป็นพรรค์นั้นแหละ เป็น ตถาตา ซะจนผู้ที่อยู่ในวัยแก่ วัยชรา ชักจะ อตัมมยตา ยิ่งเข้าไปทุกที หรือชักจะ กู...ไม่เอากับมึงแล้วโว้ย อะไรประมาณนั้น ตามความหมาย คำแปล ของอภิมหาพระอย่าง ท่านพุทธทาสฯ อีกนั่นแหละ และก็เพราะด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้น คือแม้จะแก่แม้จะชรา เพียงใดก็ตาม แต่เพราะยังไม่ทันได้ตาย หรือยังไม่ได้สูญหายไปจากโลกใบนี้แบบเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด ก็เลยหนีไม่พ้นต้องพูดซ้ำ พูดซาก เขียนซ้ำ เขียนซาก ถึงสิ่งที่ใครๆ ได้เคยพูดๆ และเขียนๆ เอาไว้แล้ว ส่วนจะสามารถ ยังประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น มาก-น้อยเพียงไหน อันนั้น...ประทานโทษ คงต้องถือเป็น เรื่องของ...มึง ไปว่าเอาเองก็แล้วกัน...

                              --------------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"