อดีตรองอธิการบดีมธ.ผิดหวังการอภิปรายไม่ไว้วางใจทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล


เพิ่มเพื่อน    

19 ก.พ.64 - รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว มีเนื้อหาดังนี้

ได้ดูการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยรวมแล้วค่อนข้างผิดหวัง ผิดหวังทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล

แม้ผู้อภิปรายเกือบทุกคนจะใช้เทคโนโลยีช่วย ใช้ power point มีการทำวิดีโอคลิปส์ และทำกราฟฟิคส์ได้ดี แต่การอภิปรายส่วนใหญ่ยังไม่พัฒนาขึ้นจากเดิม ทั้งยังยิ่งแย่กว่าเดิม

อยากแห็นการอภิปรายที่เฉียบคม อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลและความเป็นจริง ให้ความเคารพ(respect)อีกฝ่ายพอควร ไม่ใช้สำนวนโวหารมากจนเกินควร และที่สำคัญคือ อยากเห็นการอภิปรายที่ปราศจากการใช้ถ้อยคำดูถูก หมิ่นแคลนฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะจากพรรคที่วางตัวเป็นพรรคการเมืองยุคใหม่ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดีขึ้น 

แค่เริ่มจากญัตติ และที่ผู้อภิปรายแต่ละคนเริ่มต้นพูด ก็จะมีคำ เช่น

“มีการทุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถ ไร้ภูมิปัญญา ไร้วุฒิภาวะ ไร้จริยธรรม ไร้ภาวะผู้นำ”

หากใครมีคุณสมบัติข้างต้นนี้ทั้งหมดในคนๆเดียว อย่าว่าแต่เป็นรัฐมนตรีเลย แค่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมตามปกติก็ยังยาก แต่นี่ดูเหมือนฝ่ายค้านจะกล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี มีคุณสมบัติเหล่านี้อย่างครบถ้วนทุกคน มันจะเป็นไปได้อย่างไร แค่เริ่มต้นก็ฟังดูไม่น่าเชื่อถือเสียแล้ว

นอกจากคำกล่าวหาเหล่านี้แล้ว ผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจเกือบทุกคนล้วนใช้คำพูดเสียดสี ดูหมิ่นดูแคลน เยาะเย้ย ถากถาง เหมือนกับต้องการจะยั่วให้โกรธ และพูดเสมือนหนึ่งว่าตัวเองเก่งอย่างที่สุด เก่งกว่ารัฐมนตรีที่ตัวเองอภิปรายทุกคน และที่น่าเศร้าคือ ผู้อภิปรายจำนวนมาก พูดคำควบกล้ำยังไม่ชัด ฟังแล้วระคายหูเป็นที่สุด

ทั้งหมดนี้ แม้ผู้อภิปรายบางคนจะมีข้อมูลค่อนข้างแน่น แต่ก็ทำให้มีความน่าเชื่อถือน้อยลง

การโจมตีฝ่ายรัฐบาล มีหลายเรื่องที่เป็นเรื่องหมักหมมมาทุกรัฐบาล แต่ก็พูดเสมือนหนึ่งว่า เป็นเพราะนายกรัฐมนตรีคนนี้ หรือรัฐมนตรีคนนี้เท่านั้น เช่นเรื่องบ่อนการพนัน รัฐบาลนี้ไม่สามารถขจัดบ่อนการพนันให้หมดไปได้ แต่รัฐบาลชุดก่อนๆก็เช่นเดียวกัน หรือเรื่องการศึกษา ซึ่งมีความพยายามที่จะปฏิรูปมาหลายรัฐบาล แต่ไม่มีใครทำสำเร็จ แต่นี่อภิปรายเหมือนกับว่าเป็นความผิดของรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการคนปัจจุบันแต่เพียงผู้เดียว กระทั่งภารโรงเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เพราะความบกพร่องของโรงเรียน ก็โทษว่าเป็นเพราะรัฐมนตรี
เรื่องการจัดการปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด 19 ก็เป็นข้อกล่าวหาว่าเป็นความล้มเหลวของรัฐบาล ฟังแล้วก็สรุปได้ว่าล้มเหลวเพราะ

1. ปล่อยให้มีการจัดมวยที่สนามมวยลุมพินี จนเกิดการติดเชื้อไปมากมาย

2. ตื่นกลัวเกินไป จึงไปประกาศให้มีการ lock down ปิดโรงเรียน ปืดห้าง ปิดสถานบันเทิง ประกาศ curfew ทำให้ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัส และไม่มีจะกิน

3. ประกาศภาวะฉุกเฉิน ไม่ได้เพื่อควบคุมโควิด แต่เพื่อควบคุมม็อบ ทั้งที่ไม่เคยปรากฏว่ามีการติดเชื้อในม็อบเลย

4. ปล่อยให้มีการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้ามา ปล่อยให้มีบ่อนการพนัน จนมีการติดเชื้อ ระลอกใหม่ 

5. ผิดพลาดเรื่องการจัดหา วัคซีน ทำให้คนไทยได้รับวัคซีนช้ากว่าประเทศอื่น

6. มาตรการเยียวยาล้มเหลว ไม่ทำให้เศรษฐกิจหมุนได้จริง กระบวนการจัดการก็ล้มเหลว ทำให้คนต้องลำบากในการเข้าถึงความช่วยเหลือ

7. นายกรัฐมนตรีเป็นเผด็จการ รวบอำนาจมาไว้ที่เองทั้งหมด โดยตั้ง ศบค ขึ้น เป็นการสั่งการข้ามหัวรัฐมนตรีทุกคน

แค่ข้อ 1 กับข้อ 2 ก็ย้อนแย้งกันเสียแล้ว การพูดในภายหลัง จะพูดอย่างไรก็ได้ เช่น ไม่ควรปิดโรงเรียน ไม่ควรปิดสถานบันเทิง หรือไม่เคยมีการติดเชื้อในม็อบ แต่ถ้ากลับไปมองด้วยใจเป็นธรรม ต้องตั้งคำถามว่า “ แล้วถ้าในม็อบมีการติดเชื้อเล่า อะไรจะเกิดขึ้น” หรือ “ ถ้าไม่ปิดโรงเรียนเล่า อะไรจะเกิดขึ้น”

เรื่องวัคซีน ก็แน่นอนว่า ผู้อภิปรายเป็นดาวสภาคนล่าสุดจากพรรคก้าวไกล แต่การพูดจา และลีลาเต็มไปด้วยคำดูหมิ่น เหยียดหยาม ดูแคลน และยังคงพุ่งเป้าไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์ เพียงฉลาดพอที่จะไม่เอ่ยถึงโดยตรง แต่ก็พูดประโยคว่า

“ บริษัทเอกชน ที่น่าจะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน” มากกว่า 10 ครั้ง สุดท้ายหลุดคำที่เกี่ยวกับสถาบันออกมาจึงถูกประท้วง 

ความจริงนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ไม่ต้องพูดอะไรยาวเลย เพราะผู้ฟังจะเบื่อเสียก่อน แต่ต้องสามารถใช้ข้อมูล และข้อเท็จจริง หักล้างข้อกล่าวหาให้ได้ทีละประเด็นให้ครบทุกประเด็น แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น เช่นเรื่องเศรษฐกิจที่ฝ่ายค้านพยายามโยนความผิดให้รัฐบาลทั้งหมด ซึ่งคนฟังจะคล้อยตาม แต่ก็ยังไม่มีการให้ตัวเลขตอบโต้ที่ชัดเจน โดยแยกผลกระทบที่เกิดจากปัญหาโควิดออกให้ได้ 

เรื่องวัคซีน ที่แม้รัฐมนตรีสาธารณสุข จะตอบได้หนักแน่น ฟังดูจริงใจ แต่ก็ไม่ได้หักล้างให้ครบทุกประเด็น 

เรื่องบ่อนการพนัน นายกรัฐมนตรีก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมเพิ่งจะมาจับบ่อนใหญ่ เมื่อเกิดการติดเชื้อโควิด 

เรื่องเครือข่ายการลักลอบนำแรงงานต่างด้าว รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงก็ยังตอบไม่ได้ ต้องขอผลัดไว้ก่อน 

อย่างไรก็ดี ต้องชมว่านายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเกือบทุกคน คุมอารมณ์ได้ดี และไม่มีใครดูหมิ่นดูแคลนฝ่ายตรงข้าม เพียงแต่มีการตอบโต้ที่แรงไปบ้างแต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อย

ยังมีอีก 1 วัน หรืออาจยืดออกไปเป็นอีก 2 วัน ที่ต้องติดตามดู

เมื่อมีการลงมติ ต้องคอยดูว่าใครจะได้คะแนนความไว้วางใจน้อยที่สุด เพราะรัฐบาลชุดนี้ก็เป็นรัฐบาลที่มีจุดอ่อนค่อนข้างมาก 

เชื่อว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีตามมา ค่อนข้างแน่.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"