ว่าด้วย...จังหวะและโอกาส!!!


เพิ่มเพื่อน    

                                                    (1)

                ลองหลับตาจินตนาการดูว่า...ถ้าหาก ล้อรถ หรือ ล้อเกวียน มันกำลังหมุนไปข้างหลัง หรือข้างหน้าก็แล้วแต่ แล้วมีใครคนใด-คนหนึ่ง กลุ่มใด-กลุ่มหนึ่ง พยายามที่จะออกแรงผลัก แรงดัน เพื่อให้มันเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม บรรดาผู้ที่พยายามออกเรี่ยว ออกแรง ในลักษณะทำนองนี้ ไม่เพียงแต่ต้องออกเรี่ยว ออกแรง เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า ชนิดสายตัวแทบขาด เผลอๆ...อาจถูกหาว่า โง่ อะไรไปโน่น!!!

                                                       (2)

                เช่นเดียวกับสภาวะความเป็นไปของโลก ของสังคมต่างๆ ในช่วงระหว่างนี้นั่นแหละทั่น ที่คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่ามันหนักไปทาง เสื่อม ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในทุกแวดวง ทุกระดับ หรือแม้แต่ทุกชนชั้น ชั้นชน อันเป็นปกติธรรมดาของกาลเวลา ของยุคสมัย ที่ทำท่าว่ากำลังไหลไปสู่ยุคเสื่อม หรือ กลียุค อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ดังนั้น...สำหรับผู้ที่คิดจะแก้ไข เยียวยา ผู้ที่หวังและปรารถนาจะให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปในทางตรงกันข้าม ก็คงหนีไม่พ้นต้อง เหนื่อยหน่อย หรือต้องออกเรี่ยว ออกแรง อย่างมากเป็นพิเศษ แถมจะไปโอดโอย ร้องแรกแหกกระเชอ อุทง อุทธรณ์ใดๆ น่าจะไม่ถูกเรื่อง ถูกราว กันซักเท่าไหร่นัก เพราะภายใต้ความ เสื่อม ดังกล่าว แทบไม่ได้มีใครที่คิดจะไปขอร้อง วิงวอน ให้อะไรต่อมิอะไรมันหมุนกลับ หรือไหลกลับไปในอีกด้านเอาเลยแม้แต่น้อย ส่วนใหญ่...มักพร้อมที่จะ ไหลไปตามกระแส ไปด้วยกันทั้งสิ้น...

                                                      (3)

                ดังนั้น...สภาวะความเป็นไปของโลก และของสังคมต่างๆ มันจึงออกไปทางคล้ายๆ กับที่ พระฤๅษี กฤษณะ ไทว ปายนะ วยาสะ หรือ ไวยสัมปายนะ (Vaisampayana) ท่านได้กราบบังคับทูลต่อยุวกษัตริย์แห่งตระกูลปานฑพ ผู้มีนามกรว่า ยุธิษฐิระ (Yudhisthira) เอาไว้ใน มหากาพย์ภควัทคีตา นวนิยายโบร่ำโบราณของอินตะระเดียเมื่อไม่รู้กี่พันกี่หมื่นปีที่แล้วนั่นแหละว่า...“ข้าฯ แต่ราชาแห่งเผ่าพันธุ์ภารตะ ในยุคมืดหรือกลียุคนั้น ศีลธรรมจะหลงเหลืออยู่เพียงแค่ส่วนเดียว ขณะที่บาปขยายตัวออกไปถึง 3 ส่วน สำหรับมนุษย์ที่ยังเพียรพยายามคงความเป็นมนุษย์แล้ว พวกเขาจะรักษาศีลธรรมเหล่านี้เอาไว้ด้วยความยากลำบาก อย่างเป็นที่สุด...”

                                                     (4)

                คือเหตุที่มัน ยากซ์ซ์ซ์...แสน...ยากซ์ซ์ซ์ ก็เพราะภายใต้ภาวะความ เสื่อม ดังกล่าว มันได้เกิดสภาวะแวดล้อมแบบที่พระฤๅษีท่านได้บรรยายเอาไว้นั่นแหละว่า...“ไม่ว่าพราหมณ์-กษัตริย์-แพศย์-ศูทร จะปฏิบัติต่อศีลธรรมและคุณธรรมด้วยความหลอกลวง และมวลมนุษย์โดยทั่วไปจะหลอกลวงผู้อื่นต่อไปเป็นทอดๆ” เรียกว่า...ไม่เพียงแค่ระดับ เด็ก หันไปหลอกลวง ผู้ใหญ่ หรือ ผู้ใหญ่ หันไป หลอกเด็ก จนแทบไม่รู้ว่าใครหลอกใคร แต่กระทั่ง มือซ้าย ยังพยายามหันไปหลอกลวง มือขวา เอาเลยถึงขั้นนั้น มันเลยเกิดสภาพที่พระฤๅษีท่านสรุปไว้ว่า “พวกเขาจะไร้ความปรารถนาใดๆ ที่จะเรียนรู้ถึงสิ่งดีงามด้วยการปฏิบัติ ความจริง...จะถูกจำกัดให้เหลืออยู่เพียงน้อยนิด และเท่าที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็กลับจะถูก...ปกปิด...เอาไว้อีกด้วย!!! ดังนั้น...ในช่วงชีวิตสั้นๆ ของมวลมนุษย์ พวกเขาจะไม่อยากเรียนรู้ถึงสิ่งที่ควรรู้ต่อไปอีกเลย และก็ด้วยผลแห่ง...ความไม่รู้...นี่เอง พวกเขาจะไร้เสียซึ่งปัญญาทัศนะใดๆ และนั่นย่อมทำให้ความละโมบ โลภมาก อุบัติขึ้นมา และในความรู้สึกนึกคิดอย่างท่วมท้น...”

                                               (5)

                นี่...ถ้าลองต้องเจอกับสภาวะแวดล้อมเช่นนี้ ความเป็นไปเช่นนี้ขึ้นมาจริงๆ!!! ไม่ว่าใครต่อใครก็เถอะ...ถ้าคิดจะฝืนกระแส ฝ่ากระแส คิดจะผลักวงล้อ ล้อรถ ล้อเกวียน ให้เป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม ย่อมหนีไม่พ้นต้องเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า ระดับรากแตก รากแตน อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ คำถาม...ก็เลยมีอยู่ว่า แล้วถ้าหากมันเกิดสภาวะเช่นนี้ขึ้นมาจริงๆ บรรดาผู้ที่คิดดี ใฝ่ดี หรือผู้ที่ยัง เพียรพยายามที่จะคงความเป็นมนุษย์ เอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จะออกลูกไหน แบบไหน และอย่างไร มันถึงจะ เหมาะสม และ สอดคล้อง ไปกับสภาวะความเป็นจริง อย่างไม่ถึงกับต้องเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า มากมายเกินไปนัก...

                                                      (6)

                และโดย คำตอบ ไม่ว่าจะเป็นพุทธ-คริสต์-อิสลาม ไปจนถึงฮินดู หรือสิ่งที่เป็นต้นราก ต้นตระกูลของมหากาพย์ภควัทคีตาก็ดูจะให้ข้อสรุปไปในแนวเดียวกันว่า เริ่มแรก...หนีไม่พ้นต้องพยายาม เข้าถึง และ เข้าใจ เอาไว้ให้จงหนัก ต้องมองเห็นถึงสภาวะความเป็นไปในแง่ของ องค์รวม หรือ ภาพรวม ให้แจ่มแจ้งชัดเจนไว้ซะก่อน ว่าท้ายที่สุดแล้ว...เมื่อวงล้อ กงล้อของกาลเวลา มันหมุนไปถึงจุดสิ้นสุดของมัน หรือหมุนไปจนถึงจุดสุดท้ายของความเสื่อม มันย่อมต้องเกิดแรงผลัก แรงดัน ที่จะหมุนไปสู่ทิศทางตรงกันข้ามเพิ่มขึ้นๆ ไปตามลำดับ ดังนั้น...การออกเรี่ยว ออกแรงใดๆ ก็ตาม คงต้องขึ้นอยู่กับ จังหวะ และ โอกาส อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย ปัญหาอยู่เพียงแค่พอถึงจังหวะนั้นขึ้นมาจริงๆ แล้ว บรรดาผู้ที่คิดออกแรงผลัก แรงดัน จะคงหลงเหลือ ความเป็นมนุษย์ หลงเหลือคุณธรรมและศีลธรรมไว้ในตัวตนของตน ได้มาก-น้อยขนาดไหน???

                                     --------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"