
สำหรับการฉีดวัคซีนนอกจากจะสำคัญกับเด็กเล็กแล้ว ในกลุ่มเด็กวัยรุ่น วัยทำงาน และผู้สูงอายุก็นับว่าสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเมื่อมีอายุที่มากขึ้นภูมิคุ้มกันที่สะสมมาจากการฉีดวัคซีนในอดีต ก็จะลดลงเรื่อยๆ และผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ก็มีโอกาสเสี่ยงและติดเชื้อได้ง่าย การฉีดวัคซีนนับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่คนทุกเพศทุกวัย
โดยทางกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการจัดทำคลินิกวัคซีนผู้ใหญ่ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงวัคซีนอื่นๆ ครอบคลุมทุกกลุ่มวัย โดยตามมติคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ได้กำหนดระดับคำแนะนำเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 1.วัคซีนจำเป็นสำหรับผู้ใหญ่ฯ โดยรัฐเป็นผู้จัดสรรให้ 2.วัคซีนแนะนำสำหรับผู้ใหญ่ และ3.วัคซีนทางเลือก เป็นต้น
ทั้งนี้ในเสวนา VaxTalk Venue Lifetime Immunization #ฉีดให้ครบจบโรคร้าย ที่ทางสถาบันวัคซีนแห่งชาติ และหน่วยงานเครือข่ายได้จึงขึ้นในโอกาสวันแห่งการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโลก 2566 ภายใต้แนวคิด “รวมพลังสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรค: การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคตลอดชีวิต (Lifetime immunization) เมื่อวัคซีนสำคัญสำหรับทุกช่วงวัย” ได้นำเสนอการฉีดวัคซีนที่น่าสนใจในกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงานและวัยผู้สูงอายุ ที่จำเป็นต้องได้รับ ได้แก่ วัคซีนมะเร็งปากมดลูก วัคซีนไข้เลือดออก และวัคซีนงูสวัด ซึ่งเป็นโรคที่พบเจอได้ในชีวิตประจำวันของทุกเพศทุกวัย

ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญศูนย์เด็ก โรงพยาบาลศิริราชฯ ได้กล่าวถึงความสำคัญของการวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกว่า มะเร็งปากมดลูกเกิดจากเชื้อไวรัส HPV ที่มีมากกว่า 200 สายพันธุ์ ในจำนวนนี้อย่างน้อย 40 สายพันธุ์ สามารถติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศได้ และมีอย่างน้อย 13 สายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ 16 และ 18 ที่มีส่วนทำให้เกิดมะเร็ง สายพันธุ์ที่ 6 และ 11 ทำให้เกิดหูด ที่อวัยวะเพศ สำหรับไวรัส HPV จะสามารถติดต่อได้นั้นเกิดจากการสัมผัสโดยตรงจากการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น ซึ่งการสวมใส่ถุงยางอนามัยจะกันได้เฉพาะส่วนที่ใส่เท่านั้นจึงไม่สามารถป้องกันไวรัส HPV ได้สมบูรณ์ และไม่ได้เกิดจากการเข้าห้องน้ำสาธารณะร่วมด้วย ทั้งนี้การติดเชื้อจะไม่แสดงอาการ จะค่อยแสดงอาการทีละเล็กสะสมเชื้อยาวนานกว่า 20 ปี ถึงจะพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งได้
ศ.พญ.กุลกัญญา กล่าวต่อว่า มะเร็งและเนื้องอกจากเชื้อไวรัส HPV ไม่ได้เกิดขึ้นขึ้นเฉพาะบริเวณปากมดลูกเท่านั้น แต่ยังเกิดในอวัยวะสืบพันธ์หลายแห่ง อาทิ มะเร็งทวารหนัก หูดอวัยวะเพศ มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งช่องปากและลำคอ นอกจากนี้ไวรัสที่ยังไม่ได้พัฒนาเป็นเซลล์มะเร็ง สามารถที่จะทำให้เกิดความผิดปกติได้ ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจรักษาเพื่อไม่ให้ไวรัสพัฒนาไปเป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งทั่วโลกพบไวรัสชนิดนี้กว่า 700,000 รายต่อปี ซึ่งในประเทศไทยอัตราการเสียชีวิตของหญิงไทยจากโรคมะเร็งปากมดลูกเฉลี่ยในทุกๆ 2 ชั่วโมง จะมีหญิงไทย 1 คน ที่ต้องเสียชีวิต และมีผู้ป่วยรายใหม่เกิดขึ้นเกือบ 10,000 คน หรือ เฉลี่ยประมาณ 25 คนต่อวัน และเสียชีวิตปีละกว่า 4,700 คน หรือประมาณ 13 คนต่อวัน ซึ่งมะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่สองรองจากมะเร็งเต้านม และพบเจอบ่อยถึง 80% ในช่วงชีวิตหนึ่งมนุษย์มีการติดเชื้อ HPV จึงเป็นปัญหาใหญ่มากของหญิงไทย นอกจากนี้ยังมีค่าใช้สูงมากถึง 300,000-2,000,000 บาทต่อราย
ในส่วนของการการป้องกัน ศ.พญ.กุลกัญญา กล่าวว่า สามารถป้องกันทำได้ 2 แบบ ได้แก่ 1.ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ HPV ที่มีทั้ง 2 สายพันธุ์ 4 สายพันธุ์ และ 9 สายพันธุ์ โดยในวัคซีนทุกๆ สายพันธุ์ จะมีสายพันธุ์ก่อมะเร็งปากมดลูกที่ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักจะสามารถป้องกันมะเร็งได้ 70% ส่วน 4 สายพันธุ์ จะมีสายพันธุ์ก่อมะเร็งปากมดลูก 6, 11, 16, 18 สามารถป้องกันมะเร็งได้ 70% และป้องกันหูดหงอนไก่ได้ 90% และหากฉีดครบทั้ง 9 สายพันธุ์ จะมีสายพันธุ์ก่อมะเร็งปากมดลูก 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58 จะสามารถป้องกันมะเร็งได้ถึง 95% และป้องกันหูดหงอนไก่ได้ 90% โดยอย่างน้อยควรได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1-2 เข็ม ฉีดได้ทุกเพศ ตั้งแต่อายุ 9-26 ปี เน้นในช่วงอายุ 11-12 ปี เพื่อฉีดก่อนได้รับเชื้อก่อนมีเพศสัมพันธ์ และมีการตอบสนองที่ภูมิคุ้มกันที่ดี 2.ตรวจภายในเป็นระยะ ทำแปปสเมียร์ถ้าพบรอยโรคระยะต้น รีบทำลาย
“หากไม่ฉีดป้องกันมะเร็งจากเชื้อ HPV ทำลายสุขภาพและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต โดย 40% ของคนไข้มะเร็งปากมดลูก รู้สึกอยากแยกตัวจากสังคม หรือรู้สึกถูกขับไล่ รังเกียจจากคู่นอนของตน และ 80% หูดที่เกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศของทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทำให้สูญเสียความมั่นใจการใช้ชีวิต ส่วนมะเร็งช่องปากและลำคอ จะพบกับปัญหาการพูด การกลืน การลิ้มรส การหายใจ การมีเพศสัมพันธ์และการเข้าสังคม ดังนั้นอย่าคิดว่ามีแฟนคนเดียว จะหนีรอดพ้นจากความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก ทุกคนมีโอกาสเสี่ยงได้” ศ.พญ.กุลกัญญา กล่าว

ไข้เลือดออกเป็นอีกหนึ่งโรคยอดนิยมที่เป็นได้ทุกเพศทุกวัย ศ.พญ. ธันยวีร์ ภูธนกิจ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 พบผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับปีนี้จะพบผู้ป่วยไข้เลือดออกมากกว่าถึง 130,000 ราย ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะมาก โดยพื้นที่กรุงเทพฯ พบกว่า 10,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตจำนวนแล้วกว่า 130 ราย เพราะโรคนี้สามารถพบได้ทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะในวัยประถมอายุ 5-14 ปี วัยมัธยมอายุ 15-24 ปี และวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่เริ่มทำงาน
รู้จักไข้เลือดออก ศ.พญ. ธันยวีร์ อธิบายว่า ไข้เลือดออกเกิดจากไวรัสเดงกี มี 4 สายพันธุ์ โดยในประเทศไทยจะพบมากสุดคือสายพันธุ์ที่ 1 และ 2 แต่ในบางช่วงไวรัสมีการพัฒนาทำให้ผู้ป่วยเป็นสายพันธุ์ที่ 3 และ 4 ได้ ซึ่งผู้ที่เคยเป็นแล้วก็เป็นซ้ำอีกได้ โดยอาการของไข้เลือดคือ ปวดหัว มีผื่น เบื่ออาหาร ปวดข้อ กระดูก ท้องเสีย และหากไข้สูง 3-4 วัน ควรได้รับการตรรวจรักษา และในช่วง 4-7 วัน เป็นช่วงระยะอันตราย เพราะอาจจะเกิดภาวะเกร็ดเลือดต่ำ มีไข้เลือดออกทำให้เลือดออกในอวัยวะที่สำคัญ หรือส่งผลให้ตับวาย ไตวาย สาเหตุของการเสียชีวิต ทั้งนี้ในปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสเดงกี เป็นการรักษาไปตามอาการและให้การดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผ่านช่วงระยะอันตราย
ศ.พญ. ธันยวีร์ เน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญคือการป้องกันตัวเอง ด้วยการรับวัคซีน โดยประเทศไทยมีวัคซีนไข้เลือดออก 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดที่มีแกนหลักเป็นไข้เหลือง เป็นวัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิตอ่อนฤทธิ์ มีประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกทุกสายพันธุ์ 65% และป้องกันการนอนโรงพยาบาล 80% และชนิดที่มีแกนหลักเป็นไวรัสเดงกีสายพันธุ์ที่ 2 เป็นวัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิตอ่อนฤทธิ์ มีประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกทุกสายพันธุ์ 80% และป้องกันการนอนโรงพยาบาล 90% และสามารถฉีดได้ทุกเพศทุกวัย แต่ควรหลีกเลี่ยงในกรณีที่แพ้วัคซีน หรือภูมิคุ้มกันต่ำ รวมถึงในหญิงตั้งครรภ์ ทั้งนี้การติดเชื้อครั้งที่ 2 จะรุนแรงที่สุด ดังนั้นควรรับวัคซีนทั้งในกรณีที่เคยเป็น และไม่เคยเป็นไข้เลือดออก

โรคงูสวัด เชื้อที่ส่งต่อมาจากอีสุกอีใส นพ. วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปี ในจำนวนนี้ 9 ใน 10 คน มีเชื้องูสวัดอยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นเชื้อตัวเดียวที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส หลายคนที่เคยเป็นอีสุกอีใสในตอนเด็ก หรือในวัยเรียน อาจจะสบายใจว่าเชื้อสงบลงแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปอาจจะ 10-20 ปี สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ภูมิต้านทานลดลงและเชื้อที่สงบแท้จริงเชื้อไม่ได้หายไปไหน แต่ไปซ่อนอยู่ที่ปมประสาทโดยที่เราไม่รู้ตัว ทำให้มีโอกาสที่ไวรัสจะสามารถกลับมาอีกครั้งโดยการพัฒนาเป็นเชื้องูสวัด
นพ. วีรวัฒน์ บอกว่าอาการของโรคงูสวัดจะมีผื่นและตุ่มน้ำใสเหมือนกับอีสุกอีใส แต่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน คือ เกิดเป็นแผลในชั้นผิวหนังแท้ เมื่อหายแล้วจะเกิดแผลเป็นตามบริเวณร่างกายที่เป็น นอกจากนี้ยังมีอาการปวดตามเส้นประสาทรุนแรงที่อาจจะมากกว่าการคลอดบุตรนานเป็นเดือน-ปี หรืองูสวัดขึ้นตา ส่งผลให้กระจกตาอักเสบ ทำให้เกิดแผลเป็นกระจกตากลายเป็นสีขาว ส่งผลต่อการมองเห็น และยังสามารถก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจ ที่เป็นภาวะอันตรายและรุนแรง
กลุ่มที่ควรเฝ้าระวังและสังเกตอาการ นพ. วีรวัฒน์ กล่าวว่า กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ กลุ่มคนอายุที่มากกว่า 50 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะคนที่มีโรคร่วม เช่น โรคเบาหวาน โรคไต เป็นต้น และกลุ่มผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือได้รับยากดภูมิ ยาเคมีบำบัด เช่น ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ กลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง โรคแพ้ภูมิตัวเอง ดังนั้นวัคซีนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันงูสวัด จากเดิมมีวัคซีนชนิดเก่า ชนิดเชื้อเป็น จะไม่สามารถใช้ในกลุ่มเสี่ยงได้ และประสิทธิภาพลดลงตามเวลา ปัจจุบันมีวัคซีนชนิดใหม่ ที่ไม่ใช่ชนิดเชื้อเป็น ซึ่งสามารถใช้ได้ในกลุ่มเสี่ยง มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคและภาวะแทรกซ้อนระยะยาวนานถึง 10 ปี โดยจะต้องฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 2-6 เดือน ดังนั้นกลุ่มที่ควรได้เข้ารับวัคซีนงูสวัดมากที่สุดคือ กลุ่มเสี่ยง .



ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เข้าใจ “การรักษาไข้เลือดออก” ป้องกันได้ก่อนอาการรุนแรง
ไข้เลือดออก...ชื่อนี้เราได้ยินกันบ่อยจนอาจรู้สึกชินชา แต่ความจริงคือมันยังคงเป็นภัยร้ายที่น่ากลัวและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญในทุกช่วงวัย ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่ต้องระวัง
'หมอยง' เตือน RSV กำลังระบาดหนัก ทิ้งท้ายปลายฤดู
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า RSV กำลังระบาดอย่างมากทิ้งท้ายปลายฤดู
LifeDee เปิดตัวฟังก์ชันใหม่ แจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงไข้เลือดออกและดัชนีความร้อน
สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จัดงานเปิดตัวแอปพลิเคชัน LifeDee V.2 เพิ่มฟังก์ชันการใช้งาน โดยการนำเอาเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศประยุกต์ใช้ด้านสุขภาพ หรือ GeoHealth
'หมอยง' แจงยังไม่มีผลวิจัยเพียงพอให้ 'ผู้สูงอายุ' ฉีดวัคซีนไข้เลือดออก
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเรื่องวัคซีนไข้เลือดออก (ตอนที่ 5)
'หมอยง' เปิดข้อมูล 'ไข้เลือดออก' ก่อนตัดสินใจฉีดวัคซีน
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเรื่อง "วัคซีนไข้เลือดออก" โดยระบุว่า
'หมอยง' บอกโรค SFTS พบได้ในประเทศ ไทย!
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์


