
“โดยประชาชนกว่า 2 พันล้านคนอาศัยในพื้นที่เสี่ยงกลายเป็นทะเลทราย ซึ่งส่วนใหญ่กระจายอยู่ในแอฟริกา เอเชียตะวันออก และเอเชียกลาง ในประเทศไทย พบว่ามีพื้นที่เสี่ยงต่อการกลายเป็นทะเลทรายกว่า 6.9 ล้านไร่ หรือราว 2.2% ของพื้นที่ประเทศ ….”
ดินเป็นรากฐานสำคัญของการเกษตรและการดำรงชีวิตในประเทศไทย แต่ปัจจุบันหลายพื้นที่กำลังเผชิญกับปัญหาความเสื่อมโทรม ทั้งการสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ การพังทลายของหน้าดิน และการปนเปื้อนสารเคมี สาเหตุหลักมาจากการใช้ทรัพยากรดินอย่างไม่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และการขยายตัวของพื้นที่เมือง ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบทั้งต่อคุณภาพดิน ระบบนิเวศ และความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว
โดยได้มีการวิเคราะห์ถึงปัญหาและทางออกของการแก้ปัญดินเสื่อมโทรมในไทย ภายในงานลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน ที่มีสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI ร่วมกับสมาคมดินโลก กรมพัฒนาที่ดิน มูลนิธิดั่งพ่อสอน และมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ที่ผ่านมา
ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เผยว่า กว่า 60 ปีที่ผ่านมา การก่อตั้งกรมพัฒนาที่ดินเกิดขึ้นด้วยเป้าหมายสำคัญในการจำแนกพื้นที่ดินระหว่างป่าและพื้นที่เกษตรกรรม ตรวจสอบความอุดมสมบูรณ์ของดิน และวางแผนปรับปรุงดินควบคู่กับการอนุรักษ์ดินและน้ำ เพื่อตอบสนองต่อการใช้ที่ดินอย่างยั่งยืนของประเทศ ปัจจุบันกรมพัฒนาที่ดินกำลังทบทวนยุทธศาสตร์ดินใหม่ โดยมีแผนจะแล้วเสร็จในอีก 4 เดือนข้างหน้า ยุทธศาสตร์นี้เน้นการนำปัญหาดินเป็นสารตั้งต้น ก่อนผนวกกับการจัดการน้ำ เพื่อให้การพัฒนาที่ดินเกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาว

อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวต่อว่า โดยพื้นที่ประเทศไทยกว่า 320 ล้านไร่ ถูกจำแนกออกเป็นพื้นที่เกษตรกรรม 153 ล้านไร่ โดยแบ่งลักษณะของสภาพดินออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. ดินดีน้ำดี: 43 ล้านไร่ 2. ดินดีน้ำไม่ดี: 73 ล้านไร่ 3. ดินไม่ดีน้ำไม่ดี: 37 ล้านไร่ 4. ดินเสื่อมโทรม: เช่น ดินอินทรีย์ ดินเค็ม ดินเปรี้ยว ดินตื้น และดินทรายจัด รวมประมาณ 60 ล้านไร่ ซึ่งกลุ่มพื้นที่ดินไม่ดีและดินเสื่อมโทรม ซึ่งมีปัญหาเด่นชัดที่สุด จะต้องได้รับการปรับปรุงอย่างเร่งด่วน เพื่อคืนคุณภาพดินให้เหมาะสมสำหรับการทำเกษตรกรรม และช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถใช้ประโยชน์จากดินได้เต็มศักยภาพ
อีกหนึ่งปัญหาสำคัญ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า คือการชะล้างหน้าดิน ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคใต้ และบางพื้นที่ในภาคอีสาน สาเหตุหลักมาจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การปลูกพืชเชิงเดี่ยว ที่ทำลายสมดุลของธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ปัญหาการชะล้างหน้าดินเกิดขึ้นจากน้ำที่ไหลมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เกษตรกรรมในท้องถิ่น หรือในพื้นที่ภาคกลางที่มีการทำนาถึง 3 ครั้งต่อปี หรือ 5 ครั้งในช่วง 2 ปี ส่งผลให้มีการใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณมหาศาล ซึ่งสะสมและทำให้ดินเสื่อมสภาพลง กรมพัฒนาที่ดินจึงได้เข้าไปส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อลดผลกระทบและฟื้นฟูความสมบูรณ์ของดิน
จากการศึกษาของกรมพัฒนาที่ดิน พบว่าปริมาณดินที่ถูกชะล้างออกไปในแต่ละปีมีความรุนแรงตั้งแต่ 0.2 ถึงมากกว่า 20 ตันต่อไร่ และหากรวมปริมาณทั้งหมดทั่วประเทศ พบว่ามีดินถูกชะล้างออกไปกว่า 600-800 ล้านตันต่อปี หรือประมาณ 445-666 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ใน 22 ลุ่มน้ำหลักทั่วประเทศ ทำให้ส่งผลต่อการพัฒนาแหล่งน้ำในประเทศที่มีขีดความสามารถเก็บน้ำไม่ถึง 300 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี เนื่องจากดินที่ถูกชะล้างได้ทับถมลงไปในแหล่งน้ำ ทำให้ปริมาณน้ำถูกลดทอนลงและไม่เพียงพอต่อความต้องการ
สำหรับการแก้ปัญหาดินเสื่อมและการพังทลายของหน้าดินในประเทศไทย อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน แสดงความเห๋นว่า จำเป็นต้องใช้แนวทางที่ครอบคลุมและมีโครงสร้าง โดยโมเดลการแบ่งลุ่มน้ำออกเป็น 3 ช่วง คือ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ถือเป็นแนวทางสำคัญในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ดินและน้ำอย่างยั่งยืน โดยในพื้นที่ต้นน้ำ จะมีการสร้างฝายชะลอน้ำขนาดเล็กในลุ่มน้ำสาขาและปลูกหญ้าแฝกในเขตป่าเพื่อลดการชะล้างดิน ขณะที่ในพื้นที่กลางน้ำ จะมีการสร้างฝายชะลอน้ำเพิ่มเติม พร้อมทั้งทำบ่อดักตะกอนและติดตั้งระบบกระจายน้ำให้เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำได้อย่างทั่วถึง สำหรับพื้นที่ปลายน้ำ นอกจากการดำเนินการเช่นเดียวกับกลางน้ำ ยังมีการเพิ่มคูดักตะกอนเพื่อป้องกันไม่ให้ตะกอนลงสู่ลำน้ำสาขา ซึ่งช่วยลดปัญหาตะกอนสะสมและส่งผลดีต่อระบบน้ำในภาพรวม
อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน มองว่า ในปัจจุบันการแก้ปัญหายังเน้นที่ปลายเหตุ เช่น การขุดลอกคลอง ซึ่งยังจำเป็นที่ต้องทำ แต่ด้วยงบประมาณที่จำกัด ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ทั่วถึง นำไปสู่ปัญหาน้ำหลากที่พัดพาดินและตะกอนเพิ่มขึ้น ดังนั้นการแก้ไขต้องเริ่มจากต้นเหตุ โดยทำให้พื้นที่ต้นน้ำมีความแข็งแรงและสมดุล ซึ่งในแผนยุทธศาสตร์จะมีการเสนอ งบประมาณ 20,000 ล้านบาท สำหรับทำโครงการอนุรักษ์ดินและน้ำ โดยจะดำเนินการใน 22 ลุ่มน้ำทั่วประเทศ และจัดตั้งหมู่บ้านอนุรักษ์ดินและน้ำ เพื่อสร้างชุมชนต้นแบบที่สามารถฟื้นฟูและดูแลทรัพยากรดินและน้ำได้อย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของโครงการอนุรักษ์ดินและน้ำขึ้นอยู่กับความร่วมมือจากชาวบ้านในพื้นที่ แต่การบังคับใช้ พรบ.พัฒนาที่ดิน ปี 2551 อย่างเข้มงวด อาจทำให้ชาวบ้านรู้สึกถูกควบคุมและไม่ให้ความร่วมมือ จึงมีการพิจารณาร่างกฎหมายลูกที่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านมีบทบาทเป็น “เจ้าหน้าที่พัฒนาที่ดิน” หรือ “จิตอาสา” ช่วยดูแลพื้นที่อนุรักษ์ แนวคิดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก หมอดินอาสา ที่จัดตั้งตั้งแต่ปี 2538 โดยเสริมอำนาจให้เครือข่ายหมอดินอาสาคัดเลือกผู้นำชุมชน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญและมีส่วนร่วมในกระบวนการอนุรักษ์อย่างจริงจัง ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การจัดการทรัพยากรของประเทศอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้หากมีการวิเคราะห์ดินก่อนซื้อปุ๋ย จะช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ควรมีเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาที่ดินในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้ความรู้ บริหารจัดการดิน และน้อมนำพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 มาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ ภายใต้ความร่วมมือ 3 ปี ที่เริ่มลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน จะเริ่มสนับสนุนการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ใน 77 จังหวัด พร้อมรณรงค์ไม่เผาตอซัง และขยายผลโครงการไถกลบตอซังแบบรัฐช่วยค่าใช้จ่ายคนละครึ่ง นอกจากนี้ หน่วยงานที่ร่วมลงนาม 4 แห่ง กำลังหารือเพื่อพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ สู่การขยายผลการจัดการดินในจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ

ผลกระทบดินเสื่อมโทรมในภาวะโลกร้อน ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย แสดงความเห็นว่า จากปัญหาวิกฤตโลกร้อนที่ทั่วโลกพยายามควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาตามข้อตกลงปารีส แต่ในปี 2567 อุณหภูมิพุ่งสูงถึง 1.53 องศา และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้หลายพื้นที่เสี่ยงแปรสภาพเป็นทะเลทราย หนึ่งในปัจจัยหลักคือความเสื่อมโทรมของดินจากการชะล้าง การผุพังตามธรรมชาติ การตัดไม้ทำลายป่า การเปลี่ยนพื้นที่ป่าเป็นเกษตรกรรมเชิงเดี่ยว และการใช้สารเคมีเกินความจำเป็น ทำให้ธาตุอาหารในดินสูญเสียไปอย่างรวดเร็ว
ดร.วิจารย์ กล่าวต่อว่า องค์การสหประชาชาติรายงานว่ากว่า 15.5% ของพื้นที่โลกเสื่อมโทรม และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก 4% โดยประชาชนกว่า 2 พันล้านคนอาศัยในพื้นที่เสี่ยงกลายเป็นทะเลทราย ซึ่งส่วนใหญ่กระจายอยู่ในแอฟริกา เอเชียตะวันออก และเอเชียกลาง ในประเทศไทย พบว่ามีพื้นที่เสี่ยงต่อการกลายเป็นทะเลทรายกว่า 6.9 ล้านไร่ หรือราว 2.2% ของพื้นที่ประเทศ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ราบ 2.4 ล้านไร่ และพื้นที่สูง 4.5 ล้านไร่ เช่นในจังหวัดน่านที่มีความเสี่ยงรุนแรง การดูแลรักษาดินและการสร้างความรู้ความเข้าใจในทุกภาคส่วนจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนเพื่อป้องกันวิกฤตนี้

ด้านดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรือ อาจารย์ยักษ์นายกสมาคมดินโลก กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาดินยั่งยืนเพิ่มเติมว่า การแก้ปัญหาดินต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาครัฐทั้ง 20 กระทรวงและนายกรัฐมนตรีที่ต้องตระหนักถึงความสำคัญ ตัวอย่างจากจีนที่ใช้แผนพัฒนา 5 ปีของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง สามารถสร้างผลลัพธ์ชัดเจน ซึ่งแนวทางดูแลดินทั่วโลกมุ่งเน้นใน 6 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ 1.หยุดมลพิษทางดิน 2.หยุดชะล้างหน้าดิน 3.หยุดดินเค็ม 4.สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ 5.สร้างแหล่งอาหารบนดิน 6.ดินและน้ำสมบูรณ์ และ 7.การดูแลดิน(Caring for soils) ในปี 2568 ผ่านกระบวนการ 3M คือ เฝ้าติดตาม จัดการอย่างเป็นรูปธรรม และกำหนดมาตรการที่ชัดเจน พร้อมสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจง่าย
“การจัดการดินเป็นเรื่องเร่งด่วน เช่น พื้นที่เขื่อนที่มีตะกอนสะสมมากจนลดความจุเก็บน้ำ จำเป็นต้องให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง การพัฒนาที่ดินในพื้นที่เกษตร 153 ล้านไร่ทั่วประเทศอาจต้องใช้งบประมาณมหาศาลถึง 153 ทริลเลียนดอลลาร์ ดังนั้น ความร่วมมือจากหน่วยงาน สมาคม และชาวบ้านเป็นสิ่งสำคัญ เช่น จังหวัดน่านที่สามารถฟื้นฟูดินและป่าได้จากการร่วมมือกับชาวเขา ในอดีตการแก้ปัญหาดินมักเป็นการทำงานแยกส่วน แต่การร่วมมือกันอย่างจริงจังจะช่วยเร่งผลลัพธ์ให้เห็นชัดเจนขึ้น โดยเริ่มจากการสื่อสารให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการพัฒนาดินและการแก้ปัญหาที่จับต้องได้ในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งจะสร้างแรงจูงใจให้เกิดความร่วมมือที่ยั่งยืน” ดร. วิวัฒน์ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เมืองรับมือโลกเดือดไหวหรือไม่ เช็กความพร้อมชุมชน
งานวิจัยชี้ชัดประเทศไทยเป็นประเทศที่เสี่ยงลำดับต้นๆ ของโลกจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฤดูร้อนที่ผ่านมาหลายภาคของไทยเผชิญสภาพอากาศที่ร้อนจัดจนแทบอยู่ไม่ไหว หลายพื้นทื่เจอกับภาวะร้อนและแล้งยาวมาแล้ว เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน เจอฝนถล่มหนักระยะสั้นๆ ทำให้เกิดน้ำท่วม ดินถล่ม
กรมชลประทานเร่งรับมือภาคใต้ฝนตกหนัก
กรมชลประทาน เร่งเตรียมพร้อมรับมือฝนตกหนักในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออกใน 8 จังหวัด ถึงวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้
กรมชลฯ เร่งระบายน้ำแจ้งเตือนลุ่มเจ้าพระยาอาจได้รับผลกระทบ
กรมชลฯ แจ้งเตือนลุ่มเจ้าพระยา ฉบับที่ 4 เพิ่มระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา จาก 1,500 เป็น 1,800 ลบ.ม./วินาที พื้นที่ท้ายเขื่อนเฝ้าระวังน้ำสูงขึ้นจากเดิมอีก 80 ซ.ม. อาจกระทบชุมชนบางพื้นที่
รองอธิบดีกรมชลฯ ลุยตรวจความพร้อม รับมือน้ำท่วมพื้นที่สมุทรปราการ
ขณะนี้อยู่ในช่วงบริหารจัดการน้ำช่วงฤดูฝน กรมชลประทาน ได้วางแผนการใช้น้ำโดยสำรองน้ำไว้ใช้ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม
สิ่งแวดล้อมศึกษา’วิถีใหม่’ หนุนเป้าหมายลดโลกร้อน
การเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงภัยพิบัติภายใต้บริบทใหม่ จำเป็นต้องเปิดรับชุดความรู้และประสบการณ์ที่หลากหลาย ภาคการศึกษาเป็นหัวใจสำคัญ การเร่งพัฒนาครูและบุคลากรด้านการศึกษาให้ตระหนักรู้ต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อมศึกษาอย่างเป็นระบบตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน


