
ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระดาษชำระ หรือ ทิชชู เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน เนื่องจากทุกคนให้ความสำคัญกับสุขอนามัย อย่างไรก็ตาม กระบวนการผลิตและการกำจัดกระดาษชำระส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ตั้งแต่การตัดต้นไม้จำนวนมากเพื่อนำมาผลิตเยื่อกระดาษ การใช้น้ำและพลังงานในกระบวนการผลิต ไปจนถึงของเสียที่เกิดขึ้นหลังการใช้งาน ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมภาวะโลกร้อน อีกทั้งกระดาษชำระที่ย่อยสลายได้ยาก หรือมีสารเคมีตกค้าง ยังอาจสร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศและแหล่งน้ำ
ดังนั้นอุตสาหกรรมกระดาษชำระจึงพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลดการใช้น้ำและพลังงานในกระบวนการผลิต การพัฒนากระดาษชำระที่ย่อยสลายได้เร็วขึ้น รวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ลดปริมาณขยะและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ด้วยเหตุนี้ คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชั่นแนล ประเทศไทย ผู้นำนวัตกรรมด้านสุขอนามัยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ที่มุ่งมั่นดำเนินการนโยบายด้านความยั่งยืน พร้อมกับให้ความสำคัญด้านสุขอนามัย ภายใต้คำสัญญา Better Care for A Better World จึงได้พัฒนานวัตกรรมในนการผลิตทิชชู และผลิตภัณฑ์ในเครือ ให้มีประสิทธิภาพและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม จนได้รับสัญลักษณ์ Carbon Footprint of Product แบบ Circular Economy (CE CFP) อย่างเป็นทางการ
นับเป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียวในกลุ่มผลิตภัณฑ์ กระดาษ ทิชชู่ ในประเทศไทย ที่ได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) เป็นเครื่องหมายรับรองความรับผิดชอบต่อสังคมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ช่วยลดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ โดยมีผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ Scott และ WypAll ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อลดการใช้ทรัพยากร ลดของเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้งาน เพื่อสนับสนุนองค์กรที่ต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งช่วยเสริมสร้าง ความยั่งยืนให้กับธุรกิจ

ศสิพงศ์ บุญแต้ม Marketing Manager คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค ในระดับโกลบอล ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยเฉพาะการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีเป้าหมายลดลงให้ได้ 50% ในปี 2030 ซึ่งในสโคปที่ 1-2 สามารถดำเนินการลดลงได้แล้ว 30% ซึ่งคาดว่าจะสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ตามเป้าในอีก 5 ปีข้างหน้าแน่นอน ซึ่งในประเทศไทยก็ได้มีการดำเนินการอย่างเต็มที่ตามคำสัญญา Better Care for A Better World ที่ต้องตอบโจทย์ความสะอาดและสุขอนามัย (Better Care) รวมทั้งมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงเรื่องความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ของเราและสร้างผลกระทบเชิงบวกในระดับโลก (Better World)
ศสิพงศ์ กล่าวต่อว่า โดยขณะนี้ได้มีการนำพลาสติกรีไซเคิล 30% ในการนำมาทำแพคเกจจิ้งที่ใช้ห่อผลิตภัณฑ์กระดาษชำระ และเส้นใยบริสุทธิ์ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์กระดาษชำระมาจากแหล่งผลิตที่มีความยั่งยืนที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน FSC 100% นอกจากนี้ในกระบวนการผลิตที่ใช้น้ำได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะลดลงให้ได้ 50% และของเสีย 97% จากการผลิตไม่ถูกนำไปที่หลุมฝังกลบ รวมถึงการใช้ HYDROKNIT คือการผสานเส้นใยเซลลูโลสที่มีความนุ่มและซึมซับได้ดี กับผ้าแบบไม่ทอทำจากโพลีโพรพีลีนที่มีความคงทน ทำให้สินค้ากลุ่ม WypAll ที่มีทั้งความทนทาน ซึมซับของเหลวได้ดี ปัจจุบัน WypAll X-range รุ่นใหม่ ได้พัฒนาเทคโนโลยี HYDRONIT ที่ใช้พลาสติกลดลงถึง 17%

“ขณะเดียวกันในกลุ่มกระดาษชำระ ที่ไม่ใช่กลุ่มกระดาษเช็ดมือ สามารถที่จะทิ้งลงชักโครกได้ ซึ่งผลิตจากเยื่อกระดาษธรรมชาติและไม่ผสมไมโครพลาสติก นอกจากนี้ยังอยู่ในระหว่างการทดลองในการพัฒนาเทคโนโลยีในการย่อยสลายกระดาษชำระให้เร็วขึ้นเมื่อเข้าสู่การฝั่งกลบ ดังนั้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่ใช่แค่เพื่อองค์กรหรือลูกค้าของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อโลกที่ยั่งยืน ในอนาคตอีกด้วย” ศสิพงศ์ กล่าว

ด้าน พ.ร.บ. Climate Change ดร.กิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยปลดปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศกว่า 300 ล้านตันต่อปี โดยมีการตั้งเป้าหมายลดการปลดปล่อยลงให้ได้ 30-40% ภายในปี 2030 และจะต้องลดจนเข้าสู่ภาวะ Carbon Neutral ดังนั้นการจัดทำร่าง พ.ร.บ. เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. … ซึ่งประกอบด้วย 14 หมวดหลัก อาทิ ระบบภาษีคาร์บอน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คาร์บอนเครดิต และระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น จึงเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านทางสังคมเพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงแค่เป็นข้อบังคับทางกฎหมาย แต่ยังเป็นโอกาสให้ภาคธุรกิจสามารถพัฒนาและแข่งขันได้ในยุคที่ตลาดให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม

ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจและสังคมแบบยั่งยืนและคาร์บอนต่ำจำเป็นต้องมีการผสมผสานเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เพื่อให้เกิดความสมดุลในห่วงโซ่เศรษฐกิจด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยมีรัฐบาลเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อน ซึ่งอุตสาหกรรมที่ใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ใช้ในยานพาหนะ การผลิตไฟฟ้า และกระบวนการในโรงงานอุตสาหกรรม จะต้องมีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมตามสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อนำเงินส่วนนี้ไปอุดหนุนและช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบสูง ทั้งนี้เมื่ออุตสาหกรรมปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานสะอาด การจัดการขยะ เกษตรกรรมที่ยั่งยืน หรือแนวทางอื่น ๆ รายได้ที่เกิดขึ้นจากระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำจะสามารถนำไปส่งเสริมการลงทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานในประเทศ

เพชรดา อ้อชัยภูมิ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมการผลิตและการบริโภคยั่งยืน กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อม กล่าวเสริมว่า สำหรับสัญลักษณ์ G-Green ไม่ว่าจะเป็น Green Hotel, Green Restaurant, Green Office คือ การส่งเสริมให้ภาคธุรกิจมีการผลิตและการให้บริการที่คำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมีหัวใจสำคัญคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการมีส่วนร่วม, ลดการใช้พลังงานและทรัพยากร, ลดการเกิดของเสีย, ลดและเลิกใช้สารเคมีอันตราย, จัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การได้รับตราสัญลักษณ์ ถือเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ รวมถึงบทบาทของ Thai Green Label ในการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
LOXLEY จับมือ CHOW ขับเคลื่อนพลังงานทดแทน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลงนาม MOU ติดตั้งโซลาร์เซลล์กว่า 36 เมกะวัตต์ทั่วประเทศ
บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท เชาว์ ไบรท์ เวนเจอร์ส โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ดำเนินธุรกิจลงทุนในพลังงานทดแทนประเภทพลังงานแสงอาทิตย์
กลุ่มไทยออยล์รับมอบใบประกาศเกียรติคุณโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (LESS) ทั้งธุรกิจปิโตรเลียม ปิโตรเคมี และไฟฟ้า
เมื่อเร็วๆ นี้ กลุ่มไทยออยล์ ประกอบด้วยบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยพาราไซลีน จำกัด บริษัท ลาบิกซ์ จำกัด บริษัท บริษัท
ปลื้ม ! ปตท. ได้รับรองมาตรฐานหน่วยตรวจสอบทวนสอบก๊าซเรือนกระจก สะท้อนจุดยืนมุ่งเน้นการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ
ปัจจุบันเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ถือเป็นเป้าหมายหลักของหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เนื่องจากทุกกิจกรรมของมนุษย์สนับสนุนให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
มช. นำ Big Data พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ร่วมบูรณาการ ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ภายใต้ โครงการศึกษาและพัฒนาแนวทางการเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคพลังงานในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการของประเทศไทย


