
สำนักงานสภานโยบาย การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เปิดตัวรายงานการพัฒนามนุษย์ ประจำปี 2025 ในหัวข้อ“เทคโนโลยีของใคร? ทางเลือกของเรา : ทำอย่างไรให้ AI ทำงานเพื่อมนุษย์” โดยนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้มอบหมายให้นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอว. กล่าวเปิดงาน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ
โดยรายงานระบุว่า ดัชนีการพัฒนามนุษย์ (HDI) ทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 35 ปีขณะที่ความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศยังคงขยายตัวเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน จึงเป็นจุดสำคัญที่จะต้องสร้างแนวทางใหม่โดยเน้นบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI)เป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาที่สามารถสร้างโอกาสให้กับคนทุกคนอย่างเท่าเทียมและไม่เป็นเหตุในการสร้างให้เกิดความเหลื่อมล้ำที่สูงขึ้นในอนาคต สำหรับประเทศไทย รายงานระบุว่า อยู่อันดับที่ 76 จาก 193 ประเทศและเป็นอันดับ 4 ในประเทศอาเซียน รองจากสิงคโปร์ บรูไน และมาเลเซียโดยชี้ว่าไทยมีจุดแข็งด้านความเท่าเทียมทางเพศและเป็นผู้นำในอาเซียนด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ในรายงานยังระบุว่า AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับผลิตภาพ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและขยายโอกาสในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น สุขภาพ การศึกษา และสิ่งแวดล้อม โดย 3 เสาหลักที่ UNDP ไทยผลักดันได้แก่ 1. AI เพื่อเพิ่มผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขัน 2. AI เพื่อความทั่วถึง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และ 3.AI เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นในระบบเศรษฐกิจและสังคม
นางสาวสุชาดา กล่าวถึง ระบบการศึกษาในยุค AI ของไทย ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายหลายด้านในการเข้าสู่ AI โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนบุคลากรท้องถิ่นที่มีทักษะด้าน AI การพัฒนากฎระเบียบที่ล่าช้า ต้นทุนในการนำ AI ขนาดใหญ่มาใช้ที่ยังไม่คุ้มค่า รวมถึงบริบททางภูมิรัฐศาสตร์ที่การครองเทคโนโลยีเป็นของสหรัฐอเมริกาและจีนขณะเดียวกันยังมีความกังวลเรื่องการสูญเสียงานจากระบบอัตโนมัติ โดยข้อมูลระบุว่าในช่วงปี 2025–2030กลุ่มอาชีพที่เติบโตเร็วที่สุด ได้แก่ นักวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ วิศวกร AI และวิศวกรการเรียนรู้ของเครื่องจักรนักพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน นักวิเคราะห์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และวิศวกรด้านพลังงานหมุนเวียนส่วนอาชีพที่มีแนวโน้มลดลงอย่างรวดเร็ว ได้แก่ พนักงานธนาคาร พนักงานบัญชี คอลเซ็นเตอร์ แคชเชียร์และพนักงานบริการหน้าร้าน
สำหรับบทบาทของการอุดมศึกษาไทยในยุค AI นั้น กระทรวง อว.ขับเคลื่อนผ่านกรอบความร่วมมือ 3 ฝ่าย ได้แก่ 1. ภาครัฐในฐานะผู้สนับสนุนเชิงนโยบาย 2.ภาคธุรกิจในฐานะผู้กำหนดความต้องการกำลังคน และ 3.สถาบันอุดมศึกษาในฐานะผู้พัฒนาเนื้อหาหลักสูตรให้สอดคล้องกับตลาดแรงงานโดยโครงการสำคัญที่ได้รับการผลักดัน ได้แก่ โครงการ Higher Education Sandbox มีตัวอย่างการพัฒนาหลักสูตรวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และดิจิทัลเทคโนโลยี ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยออกแบบระบบ Block Course และฝึกงานแทนการเรียนบางวิชา ช่วยให้เรียนจบได้เร็วขึ้นซึ่งสามารถผลิตกำลังแรงงานที่ตรงความต้องการของภาคเอกชน โดยนักศึกษาปี 1 จากหลักสูตรดังกล่าว 33%ได้รับการประเมินว่าสามารถทำงานได้ดีกว่านักศึกษาปี 3 จากหลักสูตรปกติ โครงการ National Credit Bank ระบบสะสมหน่วยกิตจากการเรียนรู้ทั้งในระบบ นอกระบบ และจากประสบการณ์ตรง ซึ่งสอดรับกับแนวคิดที่ต้องการสร้างโอกาสในการเรียนรู้ให้กับประชาชนทุกกลุ่ม รองรับการเรียนรู้ตลอดชีวิตและรับรองสมรรถนะจากการเรียนรู้นอกห้องเรียน โครงการ GenNX Model โมเดลเป็นการฝึกอบรมเข้มข้นเพื่อเข้าสู่การจ้างงาน โดยเชื่อมคนว่างงานเข้ากับบริษัทที่ต้องการแรงงานคุณภาพช่วยแก้ปัญหาการว่างงานเชิงโครงสร้าง
นอกจากนี้ ยังได้จับมือกับบริษัท Microsoft พัฒนาโครงการ “;AI for All” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจด้าน AIให้แก่คนไทยทุกช่วงวัย ผ่านการจัดทำหลักสูตร การอบรมครู แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์และพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศเข้าสู่โลกแห่งเอไออย่างเท่าเทียมและยั่งยืน

ด้าน ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวว่า การขับเคลื่อนประเทศท่ามกลางความท้าทายรอบด้านทั้งเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ และวิกฤตสิ่งแวดล้อมนวัตกรรมเชิงนโยบายจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ยั่งยืน โดย สอวช.ได้เร่งพัฒนากลไกและเครื่องมือนโยบายใหม่ ๆ ตั้งแต่ต้นทางของการออกแบบนโยบายจนถึงการประเมินผล เช่น Design Thinking, Strategic Foresight, Regulatory Sandbox, Policy Acceleratorและการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้ระบบนโยบายตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงได้อย่างคล่องตัวอีกบทบาทสำคัญคือการผลักดันนวัตกรรมเพื่อพัฒนาประเทศ โดย กระทรวง อว.ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดทำยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ (Thailand National AI Strategy2022–2027) โดยยึด 5 แกนหลัก ได้แก่ 1. การเตรียมความพร้อมด้านจริยธรรม กฎหมาย และกฎระเบียบ 2.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเอไออย่างยั่งยืน 3. การพัฒนาทุนมนุษย์และการศึกษาด้าน AI 4.การส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยี AI 5. การผลักดันการประยุกต์ใช้เอไอในทุกภาคส่วน
“ความสำเร็จของยุทธศาสตร์ AI ต้องเกิดจากความร่วมมือแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐทุกระดับ การแบ่งปันข้อมูลอย่างปลอดภัยการประสานทรัพยากรและองค์ความรู้เพื่อสร้างบริการสาธารณะอัจฉริยะที่เข้าถึงคนไทยทุกคนอย่างเท่าเทียม เพื่อให้AI กลายเป็นพลังแห่งการเติบโตอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมของประเทศไทยในอนาคต”ดร.สุรชัยกล่าว
ขณะที่ ศ.ดร.สุรินทร์ คำฝอย รองผู้อำนวย สอวช. กล่าวการเสวนาหัวข้อ “ทางเลือกของประเทศไทย: ใช้ AIขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่มนุษย์เป็นศูนย์กลาง”ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่ด้านการศึกษา ทั้งจากจำนวนประชากรวัยเรียนที่ลดลงตลอดจนอัตราการศึกษาต่อในระดับมัธยมและอุดมศึกษาที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาโดยจุดอ่อนหลักคือ จำนวนปีเฉลี่ยของการศึกษาในประเทศไทยยังคงอยู่ที่เพียง 9 ปี ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่มีHDI ในระดับสูงมาก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ต้องเร่งแก้ไข

ศ.ดร.สุรินทร์ กล่าวว่า เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ สอวช. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสำนักงานปลัดกระทรวงอว. และ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เร่งขับเคลื่อนการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยนักศึกษาในทุก ๆช่วงของการอุดมศึกษา ตั้งแต่ 1. การสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย พัฒนาระบบ MyTCAS ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ใช้ AI จับคู่นักเรียนกับสาขาวิชาที่เหมาะสมตามความถนัด ตั้งแต่ขั้นตอนสมัครจนถึงการยืนยันสิทธิ์เข้าศึกษา 2.ตรวจสอบรับรองหลักสูตรด้วย AI ผ่านระบบ CISA ช่วยลดระยะเวลาอนุมัติจาก 120 วันเหลือเพียง 30 วันส่งผลให้หน่วยงานสามารถปล่อยกู้เพื่อการศึกษาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และ 3.การแนะแนวอาชีพแบบเฉพาะบุคคลทั้งในระหว่างการศึกษาและหลังจบการศึกษา โดยใช้แบบทดสอบวิเคราะห์ความถนัด และเชื่อมโยงกับทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการ (Skill Mapping) เพื่อสร้างเส้นทางอาชีพที่ชัดเจนและแม่นยำ ตลอดจนสนับสนุนการออกแบบหลักสูตรใหม่ให้สอดรับกับตลาดงาน
รองผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สอวช. ยังได้ร่วมพัฒนาเชิงนโยบายโดยใช้ AI เพื่อจัดกลุ่มหลักสูตร เช่นSTEM และ Non-STEM ในการให้ทุนการศึกษารวมทั้งประเมินและแนะนำหลักสูตรคุณภาพเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตพร้อมทั้งพัฒนาระบบจับคู่ทักษะที่เชื่อมโยงช่องว่างด้านทักษะกับความต้องการของนายจ้างแบบเรียลไทม์ผ่านแพลตฟอร์ม STEMPlus
“เป้าหมายของเราคือ การใช้ AI เพื่อยกระดับประสิทธิภาพทางการศึกษา โดยไม่ละทิ้งความเป็นมนุษย์ต้องยึดหลักมนุษยธรรม ให้เทคโนโลยีเข้ามาเสริมศักยภาพ ไม่ใช่แทนที่คน และเปิดโอกาสให้เยาวชนทุกกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้เข้าถึงการศึกษาในระดับสูงพร้อมปรับรูปแบบการเรียนรู้ให้ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับอาชีพในอนาคต” ศ.ดร.สุรินทร์ กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ไทยเบฟ'หนุนช้างศึกชิงเจ้าอาเซียน เปิด'อะคาเดมี่'เป็นสนามซ้อม ตั้งเป้าคว้าทองซีเกมส์2025
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ “ไทยเบฟ” ผู้สนับสนุนหลักวงการฟุตบอลไทยมากว่า 25 ปี มุ่งมั่นสร้างรากฐานความยั่งยืนของกีฬาในทุกมิติ ตั้งแต่ระดับเยาวชน ผ่านโครงการต่างๆ พร้อมถ่ายทอดแนวคิด Sportsmanship เพราะ มากกว่ากีฬา คือ น้ำใจนักกีฬา พร้อมส่งทัพช้างศึกฟุตบอลทีมชาติไทยชุด U-23 และสนับสนุนสนามซ้อม “ไทยเบฟ ฟุตบอล อะคาเดมี่” ตั้งเป้าทวงบัลลังก์แชมป์ในการแข่งขันมหกรรมกีฬา “ซีเกมส์” ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดย “ไทยเบฟ” ร่วมผลักดันและพัฒนาวงการกีฬาของไทยบนเวทีนานาชาติ ในฐานะ Official Bronze Sponsor
อมตะจับมือ Day Oneขยายดาต้าเซ็นเตอร์ดันไทยสู่ ‘ฮับดิจิทัลอาเซียน’
อมตะ ประกาศความร่วมมือทางยุทธศาสตร์กับ Day One Data Centers จากสิงคโปร์ ทุ่มงบ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายฐานโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสเกลใหญ่ในนิคมฯ อมตะซิตี้ ชลบุรี โดยตั้งเป้ากำลังไฟฟ้ารวมทะลุ 1 กิกะวัตต์ รองรับดีมานด์จาก Cloud และ AI ในอนาคต หนุนไทยสู่ ฮับดิจิทัลอาเซียน


