'ผู้บริบาลผู้สูงอายุ'  ผ่าทางตันสูงวัยล้นประเทศ


ศาสตราจารย์ ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน

“โจทย์ของเราคือ ทำอย่างไรถึงจะยืดระยะเวลา ของ 2 ช่วงอายุ ออกไปให้นานยิ่งขึ้่น  เช่นช่วงติดสังคม ทำอย่างไรถึงจะยืดอายุช่วงนี้ ออกไปให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้ายืดได้เป็น  80 จะดีมาก  ส่วนติดบ้านให้ยืดเป็น 80-87  ปี หลังจากนั้น 87 ปีจะติดเตียงก็ไม่เป็นไร  ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายงบประมาณของประเทศในการดูแลผู้สูงอายุในประเทศได้มาก….”

ในปี2567 ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ 21  % ของประชากรของประเทศเป็นผู้สูงอายุ  ซึ่งการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุกลายเป็นโจทย์ใหม่ของประเทศ ที่จำเป็นต้องมีการวางแผน บริหารจัดการ ผลกระทบด้านต่างๆที่ตามมาทั้ง ด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ


ศาสตราจารย์ ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองประธานคณะที่ปรึกษาติดตามและเร่งรัดการขับเคลื่อนนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (กระทรวง พม.) กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตประชากรของประเทศ โดยข้อมูลในปี 2567 ประเทศไทยได้เข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ คิดเป็นร้อยละ 20.94ของประชากรทั้งหมด  ซึ่งสวนทางกับอัตราการเกิดใหม่ของประชากรวัยเด็กและวัยแรงงานที่มีจำนวนลดลง ส่งผลให้ประชากรวัยสูงอายุมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ในปี 2574 คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด
“ขณะนี้ ในประชากร 5คนจะมีผู้สูงอายุ 1 คน และในอีกก10 ปีข้างหน้า ใน 4คน จะมีผู้สูงอายุ 1คน และหลังจากนั้นในอีก 5ปีต่อมา ใน 3คน มีผู้สูงอายุ1คน โดยในปี2570 มีคนที่เกิดปี 2510  จะกลายเป็นผู้สูงอายุ จำนวน 1ล้านคน หรือในปี2570-2580 จะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นปีละ 1ล้านคน เทียบกับขณะนี้ที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นปีละ 5-6 แสนคน “

ศ.ดร.กนก กล่าวอีกว่า การที่ประเทศมีผู้สูงอายุจำนวนมาก เท่ากับว่ามีคนไม่ได้ทำงานเยอะขึ้น กลายเป็นภาระทั้งค่าใช้จ่ายทั้งในแง่การดำรงชีวิตประจำวัน  ค่ารักษาพยาบาล สวนทางกับปัญหาคู่ขนาน ภาวะเด็กเกิดน้อยลง  หรือน้อยกว่าอัตราการเสียชีวิต  ซึ่งผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น จะกลายเป็นภาระการดูแลของคนวัยเทำงาน โดยเทียบกับช่วง10ปีที่แล้ว ในประชากรวัยทำงาน  6คน จะต้องดูแลผู้สูงอายุ  1คน แต่ในอีก 10ปีข้างหน้า คนวัยทำงาน 3คน จะต้องดูแลผู้สูงอายุ1คน เพราะฉะนั้น เท่ากับว่า คนในวัยทำงานจะต้่องมีผลิตผลของตัวเอง เพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าถึงจะดูแลผู้สูงอายุได้ 1คน ซึ่งปัญหานี้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศมาก  โดยจะทำให้ระบบบริหารประเทศกับประชากรต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด จะทำแบบเดิมไม่ได้แล้ว

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ครั้งสำคัญของประเทศนี้  ศ.ดร.กนก กล่าวว่า จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการพัฒนาประเทศในหลายด้าน  ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้กรมกิจการผู้สูงอายุ  กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)  สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จึงได้จัดกิจกรรม สานพลังความร่วมมือ ทางออกประเทศไทย  พลิกวิกฤตประชากรให้เป็นโอกาส   โดยผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบาย 5X5 ฝ่าวิกฤตประชากร เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีและเป็นพลังทางสังคม โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสร้างกลไกการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ผ่าน “โครงการบริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน” เพื่อให้ผลบวกใน  5 มิติ ได้แก่ มิติสังคม สุขภาพ เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และเทคโนโลยี โดยการผนวกความร่วมมืองานทางด้านการ “พัฒนาสังคม” ของ กระทรวง พม. และ “นวัตกรรมเทคโนโลยี” ของ สวทช.

“โครงการบริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน”คืออะไร ศ.ดร.กนกกล่าวว่า  บทบาทของผู้บริหารผู้สูงอายุ คือ การเข้าไปตรวจเยี่ยมผู้สูงอายุถึงบ้าน โดยอาจทำการตรวจสุขภาพเบื้องต้นเช่น การวัดความดัน เพื่อดูว่ามีปัญหาสุขภาพด้านใดบ้าง  ตลอดจน การดูแลสภาพความเป็นอยู่ด้านอื่นๆ ทั้งอาหารการกิน ซึ่งการทำงานของผู้บริบาลผู้สูงอายุ จะต้องรายงานตัวและรายงานผลการทำงาน ผ่านแอปพลิเคชั่น “นิรันดร์” ซึ่ง สวทช.เป็นผู้พัฒนาขึ้น   ขณะที่กระทรวง พม. ได้เริ่มดำเนินการนำร่องโครงการ ตั้งแต่ปี 2567 โดยนำร่องใน 19 พื้นที่ 12 จังหวัด ได้แก่ นครปฐม พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี เชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก สกลนคร อุบลราชธานี สงขลา ปัตตานี มีผู้บริบาลฯ จำนวน   35 คน ซึ่งผลลัพธ์ในปีแรก พบว่า มีผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแลคุ้มครองทางสังคม จำนวนมากกว่า 24,340 คน และต่อมาในปี 2568 จึงขยายผลการดำเนินงานโครงการให้ครอบคลุม 76 จังหวัดทั่วประเทศ 156 พื้นที่ ผู้บริบาลฯ จำนวน 307 คน รวมทั้งสิ้น 342 คน (ปี 2567 – 2568) มีผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแลคุ้มครองทางสังคม จำนวนมากกว่า 342,000 คน ซึ่งในอนาคต ปี 2569 กระทรวง พม. มีแผนขยายผลพื้นที่ดำเนินงานโครงการให้ครอบคลุมทุกอำเภอทั่วประเทศ 256 พื้นที่ 76 จังหวัด สร้างผู้บริบาลฯ เพิ่มขึ้น จำนวน 536 คน

“เราจำเป็นต้องทำให้ผู้สูงอายุที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นนั้น ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีหลักประกันความมั่นคงในช่วงปั้นปลายของชีวิต โดยส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันบนศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตครอบคลุมในทุกมิติ ซึ่งเป็นการจัดระบบสวัสดิการชุมชนอย่างยั่งยืน ซึ่งโครงการผู้บริบาลจะมาตอบโจทย์ตรงนี้   ในอนาคตเราต้องการผู้บริบาลผู้สูงอายุอีก  2-3แสนคน “

 ศ.ดร.กนกกล่าวอีกว่า ผู้บริบาลผู้สูงอายุ จะมีบทบาทสำคัญต่อปัญหาผู้สูงอายุในสังคมมาก เพราะปัจจุบันพบว่ามีผู้สูงอายุจำนวนมาก ที่ขาดการดูแล เพราะลูกหลาน ต้องไปทำงาน หรือหรือบางคนต้องลาออกจากงานเพื่อมาดูแลพ่อแม่ ทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ โดยคิดคร่าวๆว่าหากคนวัยทำงานอายุ 35-45 ปีต้องลาออกจากงานที่มีเงินเดือนๆละ2-3หมื่นบาท   ถ้ามีคนกลุ่มนี้ 1แสนคน ก็จะเท่ากับการสูญเสียทางเศรษฐกิจนับแสนล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้ ในกรณีที่ผู้สูงอายุ บางคนต้องอยู่บ้านคนเดียว บางคนเป็นผู้ป่วยติดเตียง แต่ไม่มีญาติพี่น้องลูกหลานดูแล ซึ่งหากปล่อยไว้ก็จะกลายเป็นภาระ ปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจอีกเช่นกัน เพราะผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับการดูล  จะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคต่างได้มากขึ้น  ทั้งความดัน โรคหัวใจ หลอดโเลือด  และนำไปสู่ภาวะติดเตียงในที่สุด  ซึ่งปัญหาสุขภาพดังกล่าว  จะเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล   ปัจจุบันรัฐต้องมีภาระค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาล โรคเรื้อรังไม่ติดต่อ หรือNCDs ประมาณ 2 หมื่นบาทต่อเดือน หรือ 2.4แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งหากมีคนเป็นโรคนี้เพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านคน  ก็จะเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่สูงมาก

ศ.ดร.กนกกล่าวว่า  จากตัวเลขภาระค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการดูแลผู้สูงอายุ ทำให้เราต้องคิดแล้วว่า ทำอย่างไรจะให้ผู้สูงอายุมีปัญหาสุขภาพช้าลง ซึ่งเราได้แบ่งช่วงอายุ ผู้สูงอายุ ออกเป็น 3 ช่วง คือ 1 อายุ 60-69ปี จะเป็นช่วงติดสังคม มักไปเที่ยวไปโน่นมานี่ได้เพราะร่างกายยังดี ช่วงที่  2 ภาวะติดบ้าน อายุ 70-75 ปี เริ่มมีปัญหาสุขภาพไปอยากไปไหนมาไหนแล้ว ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มาก สภาวะไม่เจอใคร ทำให้เกิดความเหงา คิดมาก  เกิดความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและอารมณ์ ส่งผลเร่งกิดโรคทางร่างกายรวดเร็วมากยิ่งขึ้น  ช่วงที่ 3 เป็นภาวะติดเตียงแล้ว  

“โจทย์ของเราคือ ทำอย่างไรถึงจะยืดระยะเวลา ของ 2 ช่วงอายุ ออกไปให้นานยิ่งขึ้่น  เช่นช่วงติดสังคม ทำอย่างไรถึงจะยืดอายุช่วงนี้ ออกไปให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้ายืดได้เป็น  80 จะดีมาก  ส่วนติดบ้านให้ยืดเป็น 80-87  ปี หลังจากนั้น 87 ปีจะติดเตียงก็ไม่เป็นไร  ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายงบประมาณของประเทศในการดูแลผู้สูงอายุในประเทศได้มาก  รวมถึงลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ สร้างสังคมคุณภาพรองรับสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุของประเทศ ด้วยเหตุนี้ ผู้บริบาลจึงมีความสำคัญเป็นทางออกของประเทศ”ศ.ดร.กนกกล่าว

ดร.ณัฐนันท์ ทัดพิทักษ์กุล ผู้อำนวยการขับเคลื่อนแผนงานระบบสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ สวทช. กล่าวว่า สวทช.ได้พัฒนาระบบการปฏิบัติงานสำหรับผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ “Nirun for community” หรือเรียกว่า ระบบ “นิรันดร์” ซึ่งเป็นระบบ ซอฟต์แวร์บริหารจัดการสถานดูแลผู้สูงอายุ ออกแบบมาเพื่อใช้ในการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อสนับสนุนโครงการบริบาลสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน ที่จะช่วย ‘ผู้บริบาล’ ใช้เป็นเครื่องมือในการทำงาน เช่น ใช้ในการดูแลผู้สูงอายุในมิติต่าง ๆ แนะนำกิจกรรมที่ผู้บริการต้องทำ บันทึกการลงไปทำงาน นำไปสู่การสรุปผลการทำงานของผู้บริบาล และสรุปผลสุขภาพผู้สูงอายุในโครงการได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้บริหารของกระทรวง พม. สามารถนำไปใช้กำหนดยุทธศาสตร์การดูแลผู้สูงอายุในภาพรวมของประเทศได้ และยังตอบโจทย์ของ สวทช. ด้านมิติลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม จากการพัฒนาแพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (AI-C) ตามกลยุทธ์การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand) ด้วย

“การทำงานของระบบนิรันดร์ ข้อมูลที่ผู้บริบาลฯ บันทึกเข้ามาในระบบนิรันดร์ทุกวัน สามารถประมวลผลและแสดงออกมาให้ผู้บริบาลฯ นำไปใช้ดูแลผู้สูงอายุได้ อาทิ การประมวลผลข้อมูลตั้งต้นของผู้สูงอายุ (อายุ, โรค, ผลประเมิน ADL) ซึ่งแสดงผลเป็น “แผนการดูแลเบื้องต้น” (Recommended Care Plan) หรือข้อแนะนำในการดูแล เช่น ควรเน้นกิจกรรมกายภาพบำบัด, ควรเฝ้าระวังเรื่องอาหาร เป็นต้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริบาลฯ สามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุแต่ละบุคคลได้”

นายธาวินทร์ ลีลาคุณารักษ์ โชว์การใช้แอป”นิรันดร์”

นายธาวินทร์ ลีลาคุณารักษ์ ผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ กล่าวว่า ระบบนิรันดร์ช่วยสนับสนุนการรายงานผลการปฏิบัติงานประจำวันของผู้บริบาลฯ ได้เป็นอย่างดี สะดวก รวดเร็วในการบันทึกข้อมูล และยังช่วยติดตามผลการดูแลผู้สูงอายุเฉพาะรายในพื้นที่อย่าง Real Time ช่วยบันทึกข้อมูลประวัติส่วนบุคคลเบื้องต้น สภาพปัญหาความต้องการของผู้สูงอายุในมิติต่าง ๆ การประเมินผลครอบคลุม ทั้ง 5 มิติ และวิเคราะห์กิจกรรมการดูแลผู้สูงอายุที่เหมาะสมและสอดคล้องต่อสภาพปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุได้ ช่วยทำให้ผู้บริบาลฯ มีข้อมูล พิกัดของพื้นที่ของผู้สูงอายุที่ชัดเจ  สามารถนำข้อมูลภาพรวมของสภาพปัญหาและการดูแลผู้สูงอายุมาวิเคราะห์วางแผนการดูแล ห้เหมาะสมแต่ละบุคคล และในแต่ละพื้นที่   และ ระบบนิรันดร์ยังมีประโยชน์ ในแง่การค้นหาข้อมูลผู้สูงอายุ จากเดิมจะบันทึกทำลงกระดาษ กว่าจะค้นหาเอกสารชื่อผู้สูงอายุต้องใช้เวลานาน แต่เมื่อมีระบบนิรันดร์ แค่พิมพ์ชื่อย่อผ่านระบบฯ บนโทรศัพท์มือถือก็สามารถเลือกหาผู้สูงอายุที่เราต้องการได้ในเสี้ยววินาทีทำให้รู้พิกัด บ้าน ผู้สูงอายุ สามารถลงพื้นที่บ้านผู้สูงอายุได้อย่างแม่นยำ ไม่ต้องเสียเวลาตระเวนหา ที่สำคัญข้อมูลการดูแลในมิติต่าง ๆ สามารถรู้ข้อมูลการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการ ของผู้สูงอายุ ทำให้เราสามารถประสานงานหน่วยงานต่าง ๆ ให้ผู้สูงอายุเข้าถึงสิทธิประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว 

นายหลงมา ทีปะลา ผู้สูงอายุวัย 85 ปี ในตำบลนิคมกระเสียว อ.ด้านช้าง จ.สุพรรณบุรี กล่าวว่า ปัจจุบันอาศัยอยู่คนเดียว ลูกหลานไปทำงานกลับมาหาบ้าง แต่ก็รู้สึกดีใจ อุ่นใจจากการที่มีผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ (คุณบุ๊น-ธาวินทร์ ลีลาคุณารักษ์) เข้ามาดูแลเหมือนเราเป็นญาติคนหนึ่ง ชื่นชมที่ภาครัฐมีโครงการฯ ดีๆ แบบนี้ โดยส่งคนเข้ามาคอยช่วยเหลือ ดูแลผู้สูงอายุ ในวันที่สภาพร่างกายผู้สูงอายุไม่เอื้ออำนวย และยังช่วยเหลือดูแลเป็นธุระเรื่องอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี  

“ตาก็เคยบอกเขานะว่า บุ๊น เอ้ย เอ็งก็รักดูแลคนเฒ่าคนแก่เหมือนญาติดีนะ เวลาเขาเข้ามาเยี่ยมบ้านแต่ละทีเขาก็จะเอาของมาฝากตลอด เข้ามากวาดบ้าน ถูบ้าน รองน้ำให้ที่บ้าน ช่วยตรวจวัดความดันให้ทุกครั้ง เวลาเราไม่สบายก็ถามว่าตาเป็นอะไร ไปโรงพยาบาลไหม คือมีแต่สิ่งดี ๆ ที่เขาเข้ามาดูแลผู้สูงอายุในชุมชนเรา”  

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'กระดูกพรุน' ต้องตรวจเมื่อไร! ยาขนานไหนถึงได้ผล

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ประธานศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุขและที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า

กปภ. ผนึก สวทช. นำเทคโนโลยีดิจิทัล ยกระดับคุณภาพบริการประชาชน

การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) โดยนายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการ กปภ. ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ลงนาม MOU โครงการสนับสนุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการระบบรับเรื่องร้องเรียนและการให้บริการอื่น ๆ เพื่อยกระดับการให้บริการน้ำประปาแก่ประชาชน ณ กปภ. สำนักงานใหญ่ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568

‘อัษฎางค์’ เผยความเข้าใจผิดของคนไทยเกี่ยวกับการขยายอายุเกษียณ

อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความเรื่อง ความเข้าใจผิดของคนไทยเกี่ยวกับการขยายอายุเกษียณ โดยระบุรายละเอียดว่า  จาก

'หมอยง' แจงยังไม่มีผลวิจัยเพียงพอให้ 'ผู้สูงอายุ' ฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเรื่องวัคซีนไข้เลือดออก (ตอนที่ 5)