
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสภากาชาดไทย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา ผลักดัน “โครงการวิจัยและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยาชีววัตถุ” ความร่วมมือนี้ผสานจุดแข็งของทั้งสององค์กร โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและการพัฒนาโมเลกุลต้นแบบ ขณะที่สภากาชาดไทยโดดเด่นด้านโครงสร้างพื้นฐานและการผลิตชีววัตถุในระดับอุตสาหกรรม โครงการนำร่องมุ่งพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำ-อุบัติใหม่ และโมโนโคลนอลแอนติบอดีสำหรับภูมิคุ้มกันบำบัดโรคมะเร็ง ซึ่งยังเป็นโรคที่ขาดทางเลือกการรักษาที่เข้าถึงได้ และจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ยกระดับศักยภาพไทยในการพัฒนายาชีววัตถุ สร้างความมั่นคงทางสุขภาพในระยะยาว และต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์สาธารณสุขไทยในอนาคต
ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจะทำให้ผลการวิจัยจากห้องปฏิบัติการถูกต่อยอดไปสู่การผลิตและการใช้งานจริงในระดับอุตสาหกรรม อันจะสร้างประโยชน์ที่จับต้องได้ต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ ผมเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างกำลังคน องค์ความรู้ และศักยภาพของประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนที่สำคัญ โครงการยังมุ่งเน้นการป้องกันและบำบัดรักษาโรค โดยเฉพาะโรคที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อาทิ มะเร็ง และโรคติดเชื้อทั้งที่เกิดซ้ำและอุบัติใหม่ ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตมนุษย์ ดังนั้นการยกระดับความมั่นคงทางยาจึงมิได้เป็นเพียงการเสริมแกร่งด้านสาธารณสุข แต่ยังเป็นการมอบคุณภาพชีวิตที่ดีและอายุขัยที่ยืนยาวขึ้นให้ประชาชนไทย

เตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย กล่าวว่า การดูแลสุขภาพของประชาชนทั้งด้านการรักษาพยาบาลและการส่งเสริมสุขภาพ และยาถือเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในการป้องกันและรักษาโรค การผลิตชีววัตถุที่มีคุณภาพและมาตรฐานจึงเป็นกิจกรรมที่สร้างประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและเสริมสร้างความมั่นคงทางยาของประเทศ โดยเฉพาะศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ได้มีบทบาทสำคัญมายาวนานในการผลิตชีววัตถุเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและรักษาโรค เช่น เซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เซรุ่มแก้พิษงู และยาต้านไวรัสต่าง ๆ

เลขาธิการสภากาชาดไทย กล่าวต่อว่า ท่ามกลางความท้าทายจากโรคระบาดใหม่และโรคอุบัติซ้ำ สภากาชาดไทยตระหนักดีว่าการพัฒนาและผลิตวัคซีน รวมถึงยาชีววัตถุภายในประเทศเป็นภารกิจที่จำเป็นและเร่งด่วน จึงได้จัดทำโครงการยุทธศาสตร์เพื่อจัดตั้งโรงงานผลิตชีววัตถุแห่งใหม่ ตั้งแต่ปี 2564 และขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เพื่อนำนวัตกรรมและองค์ความรู้มาสู่การผลิตจริง ศูนย์นวัตกรรมแห่งใหม่นี้จะไม่เพียงทำหน้าที่ผลิตชีววัตถุสืบเนื่องจากสถานเสาวภา แต่ยังจะต่อยอดด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ทั้งเซลล์จากพืช แบคทีเรีย และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ความร่วมมือกับจุฬาฯครั้งนี้จะเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงทางยา ตลอดจนการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และการพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยให้ยั่งยืน

ศ. เภสัชกรหญิง ดร.กาญจน์พิมล ฤทธิเดช รองผู้อำนวยการสถานเสาวภา สภากาชาดไทย ปัจจุบันสภากาชาดไทยมีโรงงานผลิตชีววัตถุขนาดเล็กที่ถนนพระราม 4 ซึ่งยังไม่เพียงพอจึงมีแผนสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่บางบอน บนพื้นที่กว่า 35 ไร่ พระราชทานโดยมูลนิธิชัยพัฒนา และได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการก่อสร้าง และจะเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีสมัยใหม่หลายแพลตฟอร์ม เช่น mRNA และโมโนโคลนอลแอนติบอดี ซึ่งไทยยังไม่เคยทำมาก่อน แต่จะช่วยยกระดับศักยภาพด้านชีววัตถุของประเทศได้
รองผู้อำนวยการสถานเสาวภาฯ กล่าวว่า สำหรับโรงงานผลิตชีววัตถุที่บางบอนคาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2571 และพร้อมรองรับทั้งการผลิตเชิงอุตสาหกรรมและการทดสอบทางคลินิก ปัจจุบันมีหลายโครงการวิจัยที่กำลังดำเนินอยู่ เช่น การพัฒนายารักษามะเร็งปอดร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และการพัฒนายารักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะโดยสภากาชาดไทย ความพยายามเหล่านี้คือ การนำผลงานวิจัยออกจาก หิ้งมาสู่การผลิตและการใช้งานจริง หากการทดลองผลิตในโรงงานสำเร็จและเข้ากับระบบได้ ก็จะต่อยอดสู่การผลิตจริงและการทดสอบในผู้ป่วย ช่วยให้ประเทศไทยพัฒนายาชีววัตถุได้ด้วยตนเอง ลดการพึ่งพายานำเข้า และตอบโจทย์ด้านสาธารณสุขของประเทศ

ศ.ดร.พญ.ณัฏฐิยา หิรัญกาญจน์ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า สำหรับตัวยาภูมิคุ้มกันบำบัดที่กำลังพัฒนา คือ ยาแอนติบอดีต่อ PD-1 สำหรับรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด โดยเริ่มนำร่องจากมะเร็งปอด เป็นการต่อยอดมาจากการพัฒนายาแอนติบอดีต่อ PD-1 หรือแอนติบอดีภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง โดยมีทีมจากสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์มีส่วนร่วมด้วยเพราะมีประสบการณ์ยาวนานในการพัฒนายาและเป็นผู้ขึ้นทะเบียนยาภูมิคุ้มกันบำบัดรายแรกกับ อย. ความร่วมมือดังกล่าวทำให้สามารถสร้างต้นแบบยาได้สำเร็จ และขณะนี้โครงการได้ดำเนินมาถึงขั้นตอนสุดท้ายของการวิจัยทางคลินิกในผู้ป่วย
ศ.ดร.พญ.ณัฏฐิยา กล่าวต่อว่า โดยข้อดีของยานี้คือ ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่มักไม่ตอบสนองต่อยาตัวอื่น สามารถได้รับประโยชน์ เพราะยาจะไม่โจมตีเซลล์มะเร็งโดยตรง แต่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่ถูกบล็อกให้กลับมาทำงาน ส่งผลให้ร่างกายสามารถจัดการกับเซลล์มะเร็งเองได้ แม้จะไม่ได้ผลกับทุกคน แต่สำหรับมะเร็งปอดที่มีตัวบ่งชี้เฉพาะ ผู้ป่วยระยะสุดท้ายสามารถตอบสนองได้สูงถึงประมาณ 40% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานการรักษาในกลุ่มนี้
“ปัจจุบันโครงการอยู่ในขั้นตอนการผลิตยาโดยสภากาชาดไทย และได้ผลิตในปริมาณมาก คาดว่าจะได้ตัวยาภายในต้นปี 2569 และสามารถเริ่มการวิจัยทางคลินิกในช่วงปลายปี 2569 ในโรงพยาบาลประมาณ 8–10 โรงพยาบาล และผู้ป่วยราว 75 ราย ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างการขอทุนสนับสนุนการวิจัยจากกระทรวง อว. ทั้งนี้หากผลลัพธ์จากการวิจัยเป็นบวก โครงการสามารถต่อยอดสู่การรักษามะเร็งชนิดอื่นได้อย่างกว้างขวาง และสอดคล้องกับเป้าหมายหลัก คือ ทำให้ยามีราคาที่เข้าถึงได้และสามารถบรรจุในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (สปสช.) โดยมีการวิเคราะห์ต้นทุนและประเมินความคุ้มค่าไปพร้อมกัน เพื่อให้มั่นใจว่ายาจะสามารถนำไปใช้จริงในระบบสาธารณสุขไทย” ศ.ดร.พญ.ณัฏฐิยา กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มูลนิธิคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มอบเงินให้สภากาชาดไทย ช่วยน้ำท่วมภาคใต้
รศ.นายแพทย์พินิจ กุลละวณิชย์ ประธานกรรมการมูลนิธิคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มอบเงินบริจาคจำนวน 306,000 บาท (สามแสนหกพันบาทถ้วน) ให้นายเตช บุนนาค เลขาธิการ สภากาชาดไทย รับมอบ เพื่อ “รวมน้ำใจ ช่วยภัยน้ำท่วมภาคใต้ กับสภากาชาดไทย” ช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา พี่น้องผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมภาคใต้
จุฬาฯ-PMCU-เอไอเอส-ช่อง 7HD ร่วมเปิดพื้นที่ AIS SIAM จัดกิจกรรม ‘สยามน้อมอาลัย ด้วยหัวใจที่เท่าเทียม’ เนื่องในวันคนพิการแห่งชาติ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาฯ (PMCU) บริษัท แอดวานซ์อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส และช่อง 7HD ขอแสดงความอาลัยและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงเป็นดั่งร่มโพธิ์ร่มไทรของแผ่นดิน


