ยืดเวลาลาคลอด 120 วัน ดูแลครอบครัวเปราะบาง

ในสถานการณ์ที่ประเทศไทยเป็นสังคมสูงวัยและเผชิญปัญหาอัตราการเกิดต่ำหรือเด็กเกิดน้อย ซึ่งส่งผลให้อัตราวัยแรงงานน้อยลงตาม  การเพิ่มสิทธิและสวัสดิการทางสังคม โดยเฉพาะสิทธิลาคลอด จะช่วยให้ว่าที่คุณแม่เบาใจ มีความมั่นใจ และตัดสินใจมีบุตรได้มากขึ้น ตลอดระยะเวลากว่า  30 ปีที่ผ่านมา แรงงานไทย ภาคประชาสังคม และนักวิชาการพยายามต่อสู้เรียกร้องเพิ่มวันลาคลอดเป็น 120 วันบ้าง 180 วัน บ้าง

ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำและกำหนดมาตรฐานเวลาที่พ่อแม่ควรมีหรือแบ่งมาดูแลลูก 180 วัน ส่วนยูนิเซฟแนะนำเด็กแรกเกิดถึง 6 เดือน ควรกินนมแม่อย่างเดียว เพราะจำเป็นต่อการเติบโตและสร้างความผูกพันระหว่างแม่กับลุก  ซึ่งปัจจุบันสิทธิลาคลอดในระบบประกันสังคมให้ลูกจ้างหญิงลาคลอดได้ 98 วัน และได้รับค่าจ้าง 45 วันจากประกันสังคมและผู้ประกอบการนายจ้าง   

ล่าสุด ที่ประชุมวุฒิสภาไฟเขียว ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่…) พ.ศ…. ซึ่งผ่านการพิจารณาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และคณะกรรมาธิการวิสามัญเรียบร้อยแล้ว ร่างกฎหมายฉบับใหม่มุ่งเพิ่มสวัสดิการให้ลูกจ้างหญิงที่เป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม โดยเฉพาะในส่วนของการลาคลอดและการเลี้ยงดูบุตร  เพิ่มทั้งจำนวนวันลาคลอด และค่าจ้างระหว่างลา รวมถึงมอบสิทธิใหม่ให้คู่สมรสหรือคุณพ่อ เพื่อสนับสนุนการเลี้ยงดูบุตรในช่วงแรกเริ่ม ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมให้คุณภาพชีวิตแรงงานและการสร้างครอบครัวของแรงงานดีขึ้น

สาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ เพิ่มวันลาคลอดจากเดิม 98 วัน เป็นไม่เกิน 120 วัน พร้อมกำหนดให้ผู้ประกันตนที่ลาคลอดได้รับค่าจ้างเต็มจำนวนตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกิน 60 วัน นอกจากนี้ หากครบกำหนด 120 วันแล้ว บุตรมีอาการเจ็บป่วยที่มีความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน ความผิดปกติ หรือภาวะพิการ ลูกจ้างหญิงสามารถลาต่อเนื่องได้อีกไม่เกิน 15 วัน โดยได้รับค่าจ้างร้อยละ 50 ตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกิน 15 วัน ซึ่งแน่นอนว่า ไม่มีแม่คนไหนอยากเห็นลูกเจ็บป่วย แต่สวัสดิการจะช่วยให้คุณแม่วัยทำงานได้ดูแลลูกที่สุขภาพอ่อนแอ

ร่างกฎหมายยังขยายสิทธิให้คู่สมรสของลูกจ้างหญิงที่เป็นผู้ประกันตน โดยอนุญาตให้ลาเพื่อช่วยเลี้ยงดูบุตรได้ไม่เกิน 15 วัน ซึ่งสามารถใช้สิทธิได้ภายใน 90 วันก่อนหรือหลังคลอด โดยคู่สมรสจะได้รับค่าจ้างเต็มจำนวนตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกิน 15 วัน ซึ่งเรื่องวันลาของสามี สะท้อนความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง โดยเฉพาะหน้าที่ในครัวเรือน ช่วยส่งเสริมบทบาทชายในการเลี้ยงดูลูกมากขึ้นผ่านกฎหมายใหม่นี้  การทำให้วันลาสำหรับผู้ชายเพื่อดูแลลูกหลังคลอดเป็นสิทธิพื้นฐานของทุกครอบครัว

 เสน่ห์อีกข้อของร่าง กม. ฉบับนี้ยังเพิ่มสิทธิดังกล่าวให้ลูกจ้างเหมาในหน่วยงานภาครัฐ ทั้งลูกจ้างตามสัญญาจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว  ลูกจ้างนอกเงินงบประมาณ ที่เสมือนลูกจ้างชั้นสองได้รับสิทธิลาคลอด 120 วันด้วย  หลังจาก สว.มีมติเห็นชอบร่างกฎหมายจะเข้าสู่ขั้นตอนการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อพ้นระยะเวลา 30 วันนับจากวันที่ประกาศ

พญ.สมสิริ สกลสัตยาทร ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นวาระแห่งชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตโครงสร้างประชากรอย่างรุนแรง จากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2566 ผู้สูงอายุมีสัดส่วนร้อยละ 20.3 ของประชากรทั้งหมด และคาดว่าในปี พ.ศ. 2576 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aged Society) โดยมีสัดส่วนผู้สูงอายุสูงถึงประมาณร้อยละ 28 ขณะเดียวกันอัตราการเกิดกลับลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563

พญ.สมสิริ กล่าวต่อว่า โดยในปี พ.ศ. 2567 ผู้หญิงไทยมีบุตรเฉลี่ยเพียง 1.0 คน ถือเป็นระดับต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ จำนวนเด็กเกิดใหม่ในปีเดียวกันมีเพียง 461,000 คน นับเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปีที่ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าระดับ 500,000 คน ในขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตมีมากถึง 571,000 คน ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ส่งผลให้ประเทศไทยประสบปัญหาขาดดุลประชากรราว 100,000 คนต่อปี

“ โครงสร้างอายุของมารดาที่ให้กำเนิดบุตรเปลี่ยนแปลงไป โดยมีอัตราการคลอดในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15–19 ปี สูงกว่ากลุ่มหญิงวัยทำงาน ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดความรู้ ความเข้าใจ และการเข้าถึงวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสม ทำให้มารดาในกลุ่มอายุนี้ยังไม่พร้อมสำหรับการเลี้ยงดูบุตร เด็กที่เกิดในกลุ่มแม่วัยรุ่นมักไม่ได้รับการดูแลอย่างเพียงพอ และต้องอยู่ในความดูแลของปู่ย่าตายาย ส่งผลให้ขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเต็มศักยภาพ ” พญ.สมสิริ กล่าว

พญ.สมสิริ กล่าวต่อว่า หลายประเทศให้ความสำคัญกับการสร้างระบบสนับสนุนประชากรกลุ่มแม่และเด็กอย่างเป็นรูปธรรม ประเทศเวียดนามซึ่งมีพัฒนาการด้านเศรษฐกิจและสังคมในระดับใกล้เคียงกับไทยได้แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในสวัสดิการของหญิงตั้งครรภ์และมารดาหลังคลอด โดยมีนโยบายลาคลอดได้นานถึง 6 เดือน พร้อมการรับผิดชอบค่าจ้างตลอดช่วงเวลาดังกล่าว แตกต่างจากประเทศไทยที่มีกำหนดระยะเวลาลาคลอด 3 เดือน และในความเป็นจริงกลับมีการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเพียง 1 เดือนครึ่งเท่านั้น ก่อนวุฒิสภาเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ลาคลอดได้ถึง 4 เดือน และได้รับค่าจ้างที่เหมาะสม ให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทยในปัจจุบัน

เมื่ออัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง พญ.สมสิริ  กล่าวว่า การลงทุนด้านคุณภาพชีวิตของเด็กที่เกิดยิ่งมีความสำคัญ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้เด็กได้รับนมแม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการพัฒนาทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพในระยะยาว นมแม่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างพัฒนาการทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสมอง ช่วยเพิ่มพัฒนาการทางสติปัญญา (IQ) และความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสการเกิดโรคเรื้อรังและโรคภูมิแพ้ รวมถึงมีส่วนช่วยลดอัตราการเสียชีวิตในทารกได้อย่างมีนัยสำคัญ

พญ.สมสิริ กล่าวต่อว่า การได้รับนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือนหรือมากกว่านั้น มีผลต่อการเจริญเติบโตของสมอง การพัฒนาเครือข่ายเซลล์ประสาท และการเรียนรู้ในระยะยาว โดยมีงานวิจัยระยะยาวจากประเทศบราซิลที่แสดงให้เห็นว่า เด็กที่ได้รับนมแม่มีระดับ IQ สูงขึ้นเฉลี่ย 3.4 จุด และมีแนวโน้มฉลาดมากขึ้นเมื่อเติบโตถึงร้อยละ 72  ในช่วง 6 เดือนแรก ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD) เช่น โรคอ้วนในวัยเด็กและวัยรุ่นได้ร้อยละ 30–38 ลดโอกาสการเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคภูมิแพ้ โรคภูมิต้านทานผิดปกติ รวมถึงโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การได้รับนมแม่ต่อเนื่องถึงช่วงวัยเด็กตอนต้นส่งผลดีต่อการปรับโครงสร้างสมอง เพิ่มทักษะด้านการคิดวิเคราะห์และการรับรู้ทางสังคมเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น

นมแม่เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ฯ กล่าวว่า นมแม่เหมือนวัคซีนธรรมชาติที่ถ่ายทอดภูมิคุ้มกันจากแม่สู่ลูก มีสารต้านการอักเสบ ช่วยลดการติดเชื้อและการเสียชีวิตในทารกได้ถึงร้อยละ 50–80 โดยเฉพาะในทารกคลอดก่อนกำหนด ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อในลำไส้และภาวะเลือดออกในสมอง รวมถึงมีเซลล์ต้นกำเนิดที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของร่างกาย  

นอกจากประโยชน์ต่อทารกแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพมารดา ช่วยลดภาวะตกเลือดหลังคลอด ทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว รูปร่างกลับคืนสู่ปกติไวขึ้น และเว้นระยะห่างการมีบุตรตามธรรมชาติ ทั้งยังลดความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ โรคกระดูกพรุน และโรคเรื้อรังอื่นๆ พร้อมส่งเสริมบทบาทของความเป็นแม่ในทุกมิติ

ส่วนการดูแลสุขภาพคุณแม่วัยทำงาน โดยเฉพาะการดูแลตนเองของคุณแม่มือใหม่ที่ต้องทำงานไปด้วย ซึ่งการทำงานที่ปลอดภัยของหญิงที่ตั้งครรภ์ ลักษณะงานที่ต้องทำในช่วงตั้งครรภ์ ถ้าเป็นงานที่ไม่หนัก หรือเป็นความรับผิดชอบที่ไม่มากนัก สามารถทำงานได้จนกว่าจะคลอด สำหรับคุณแม่ที่ต้องทำงานนอกบ้านในลักษณะที่ต้องมีการเดินบ่อย ยืนเป็นเวลานาน ๆ หรือว่าต้องยกของหนัก ควรหลีกเลี่ยง หากมีความจำเป็นควรใช้วิธีการงอเข่าหลังเหยียดตรง ปล่อยน้ำหนักไว้ที่ต้นขาจะช่วยไม่ให้คุณแม่ปวดหลังและระหว่างการทำงานควรมีการปรับเปลี่ยนอิริยาบถ โดยหมั่นขยับร่างกายตัวเองอยู่เสมอ

นอกจากนี้ ยังต้องระวังปัญหาสุขภาพในช่วงตั้งครรภ์ที่พบบ่อย คือ ภาวะโลหิตจาง ทำให้คุณแม่มีอาการอ่อนเพลีย ซีด เหนื่อยง่าย หน้ามืด เป็นลมบ่อย วิงเวียนศีรษะและเบื่ออาหาร ซึ่งอันตรายของภาวะเลือดจางระหว่างตั้งครรภ์นั้น เลือดที่ไปเลี้ยงรกจะมีออกซิเจนน้อยกว่าปกติ ทำให้ทารกเกิดความผิดปกติหรือเสียชีวิตได้

อีกสิ่งสำคัญการสร้างโภชนาการที่ดีตั้งแต่ในครรภ์ เพราะสารอาหารมีผลต่อการเติบโตและพัฒนาการทางสมองของทารก ด้วยการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นจำพวกโปรตีน จากเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง แร่ธาตุเหล็กพบมากในตับ ไอโอดีนจากอาหารทะเล วิตามินโฟเลตจากผักใบเขียว เช่น กุ่ยช่าย หน่อไม้ฝรั่ง อาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูง เช่น นม ปลาเล็กปลาน้อย และควรพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ออกกำลังกายพอประมาณ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือ กาเฟอีน งดสูบบุหรี่ กินยาบำรุงตามแพทย์สั่ง สำหรับยาอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งและเมื่อมีความผิดปกติควรพบแพทย์ทันที  ทั้งก่อนและหลังคลอดหากแม่ดูแลตัวเองจะทำให้แม่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงลูกไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของพ่อและแม่ อย่าผลักภาระ เพราะลูกน้อยต้องการความรักและเอาใจใส่จากทั้งพ่อและแม่ เพื่อการเติบโตที่มีคุณภาพ

เพิ่มเพื่อน