เที่ยวสุราษฎร์ฯ...ใกล้ชิดธรรมชาติเมืองร้อยเกาะ

 น้ำเขียวมรกตใสราวกับกระจก ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด

 ดินแดนที่มากกว่าคำว่า “เมืองร้อยเกาะ” ต่องยกให้เป็นของจังหวัดสุราษฎร์ธานี  แต่บรรดาเกาะที่โด่งดังสุดก็ต้องเป็นเกาะสมุย  รองลงมาก็เกาะเต่า นอกจากนี้ยังมีเกาะอื่นๆอีกมากมาย  เพราะที่มีทั้งทะเลสีคราม แต่ก็อุดมไปด้วยภูเขาเขียวชอุ่ม และวิถีชีวิตที่ยังคงความอบอุ่นเรียบง่าย สุราษฎร์ฯ จึงเป็นหมุดหมายของนักดำน้ำ ทั่วโลก  ขณะที่เขื่อนรัชชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน เปรียบเสมือนสรวงสวรรค์ท่ามกลางขุนเขา นอกจากความงดงามทางธรรมชาติแล้ว สุราษฎร์ฯ ยังมีวัดวาอารามและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สะท้อนศรัทธาอันลึกซึ้งของผู้คน ทำให้การเดินทางครั้งนี้เป็นการผสมผสานที่จะพาไปพบกับความสงบและความสดชื่นใกล้ชิดธรรมชาติในเวลาเดียวกัน

  รุ่งฟ้าฟาร์มสเตย์ ท่ามกลางหุบเขา

 จุดหมายแรกเมื่อมาถึงสุราษฎร์ฯ เริ่มต้นด้วยการวอร์มกำลังขาเบา ๆ ที่ ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด ต.บ้านทำเนียบ อ.คีรีรัฐนิคม สถานที่ซึ่งนักเดินทางไม่ควรพลาด เพราะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้นานาพันธุ์ และยังมีตาน้ำหัวใจสำคัญของผืนป่า เกิดจากน้ำผุดที่ไหลซึมออกมาจากพื้นดิน ผ่านซอกหินกลางขุนเขา จนรวมตัวกลายเป็นสายน้ำจืดบริสุทธิ์ การเดินทางเข้าสู่ป่าต้นน้ำต้องอาศัยการเดินเท้าในระยะทางไม่ไกลนัก ตลอดเส้นทางมีป้ายความรู้ที่บอกเล่าเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตในป่าบ้านน้ำราด เช่น ปูป่า ที่มีสีสันสดใส ก้ามสีม่วงเปลือกมังคุด ขอบตาสีส้มคล้ายกรอบแว่น กระดองสีน้ำตาลแกมแดง และขาทั้งแปดเป็นสีส้มแดง ปูชนิดนี้นิยมออกหากินตอนกลางคืน โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน แม้ครั้งนี้จะได้ชมเพียงปูนปั้นปูป่าขนาดใหญ่แทน แต่ก็ยังโชคดีที่ได้พบเห็ดถ้วยขนสั้น หรือที่รู้จักกันว่า เห็ดถ้วยแชมเปญ สีแดงอมชมพูสดใส ขึ้นอยู่ 2–3 ต้นริมเส้นทาง สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับการเดินป่าครั้งนี้ไม่น้อย

มื้อกลางวันที่รุ่งฟ้าฟาร์มสเตย์

ที่นี่ทุกอย่างถูกแบ่งโซนไว้อย่างชัดเจน ทั้งจุดเล่นน้ำที่ปลอดภัย และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ห้ามลงเล่น เพื่อปกป้องต้นน้ำให้คงความบริสุทธิ์ เมื่อเราเดินมาถึงบ่อน้ำตรงหน้า น้ำใสสีฟ้าอมเขียวดั่งมรกตจนมองทะลุถึงพื้นทรายและตะกอนหินปูนด้านล่าง และที่พิเศษกว่านั้นคือฝูงปลาอีกองแหวกว่ายไปมา ลำตัวป้อมสั้น สีขาวอมเหลืองหรืออมชมพู มีแถบดำคาดเด่นชัด ถือเป็นสัญญาณบอกว่าน้ำในลำธารแห่งนี้สะอาดและมีคุณภาพดีจริง ๆ ในโซนที่เล่นน้ำได้ทุกคนจึงสนุกขึ้น เพราะได้เล่นไปพร้อมกับฝูงปลาอย่างเป็นธรรมชาติ เดินขึ้นไปอีกหน่อยจะพบพื้นที่ห้ามเล่นน้ำ เนื่องจากเป็นจุดกำเนิดของสายตาน้ำผุด ชาวบ้านได้สร้างศาลจ้าวปู่พญานาคาธิบดีศรีสุทโธ ขึ้นเพื่อเป็นที่พึ่งทางใจตามความเชื่อและถ้าอยากพิสูจน์ความใสสะอาด ก็สามารถลองตักน้ำขึ้นมาชิมได้เลย เพราะเราได้ลองแล้วไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสชาติ แต่กลับสดชื่น

 ลงมื้อทำกับข้าวกับวัตถุดิบสดๆจากสวน

ที่นี่ยังมีกิจกรรมพายเรือชมธรรมชาติที่โอบล้อมไปด้วยป่าไม้เขียวขจี และความน่ารักของชุมชนที่ช่วยกันดูแลอย่างเข้มแข็ง แต่แน่นอนว่าความสวยงามเหล่านี้จะอยู่คู่กับป่าได้ ก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากนักท่องเที่ยวด้วย กฎระเบียบจึงถูกวางไว้อย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นการห้ามทำลายทรัพยากร ห้ามนำขยะหรืออาหารเข้าไปในพื้นที่ ห้ามใช้สบู่หรือยาสระผมในลำธาร ไปจนถึงการห้ามก่อเหตุทะเลาะวิวาทหรือกระทำผิดกฎหมาย ทุกข้อห้ามนี้คือการรักษาความงดงามให้คงอยู่ และทำให้ทุกคนที่มาเยือนได้สัมผัสความสดใสของป่าต้นน้ำบ้านน้ำราดเหมือนกันทุกครั้ง

หุงข้าวใบแรดใส่ในกระบอกไม้ไผ่

เดินทางต่อมาในอ.พนม ที่อุทยานธรรมเขานาในหลวง สถานที่ที่สงบร่มรื่นซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางขุนเขา ความเป็นมาของอุทยานธรรมแห่งนี้เริ่มขึ้นในปี 2541 โดย พระอาจารย์สมพงศ์ วชิรปัญโญ ผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าอาวาสอยู่ในปัจจุบัน ต่อมาในปี 2552 อุทยานเข้าร่วมโครงการพุทธอุทยานเฉลิมพระเกียรติ รัชกาลที่ 9 โดยกรมป่าไม้จัดสรรพื้นที่ปหุงข้าวใบแรดใส่ในกระบอกไม้ไผ่ระมาณ 30 ไร่ จากนั้นในปี 2553 จึงเริ่มก่อสร้างซุ้มประตูพุทธาวดี ซึ่งสร้างเสร็จในปี 2555 ซุ้มประตูนี้ประกอบด้วยยอดเจดีย์เล็ก ๆ 9 ยอด ปกคลุมด้วยไม้เลื้อยที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นแลนมาร์กอันเป็นเอกลักษณ์ที่ใคร ๆ ก็ต้องถ่ายรูปเช็คอินกัน จากแรงศรัทธาและการบริจาคเงินชาวบ้าน เจ้าอาวาสจึงได้นำมาสร้างเจดีย์ลอยฟ้าบรรจุพระบรมสารีริกธาตุโดยตั้งใจไว้ว่าจะสร้างให้ครบ 7 ยอด

พี่ยู-นพดล จันทร์อยู่ เจ้าของรุ่งฟ้าฟาร์มสเตย์

หลังจากวอร์มขาเบาๆ กันมาเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงใช้กำลังขาให้เต็มที่สำรวจ อุทยานธรรมเขานาในหลวง  เพราะที่นี่มีเส้นทางเดินธรรมชาติขึ้นไปสักการะยอดเจดีย์หลายองค์ เริ่มจาก เจดีย์องค์ที่ 1 “เจดีย์ร้อยยอดพระธาตุพันองค์” แม้ยังไม่เปิดให้ขึ้น แต่สามารถเดินไปยัง เจดีย์องค์ที่ 2 “พุทธศิลาวดี” ซึ่งก่อสร้างด้วยศิลาแลงจากเมืองกำแพงเพชร ตั้งอยู่บนยอดเขาหินปูนสูงเกือบ 300 เมตร ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ อีกทั้งยังสามารถชมวิวทิวเขาสวยงามรอบ ๆ และมองเห็นเจดีย์องค์ที่ 1 และเจดีย์องค์ที่ 3 “พุทธราชาวดี” ซึ่งมีลักษณะทรงพม่าประยุกต์ ประกอบด้วยเจดีย์ประธาน 1 องค์ และเจดีย์รายรอบอีก 4 องค์ สร้างขึ้นเพื่อน้อมถวายรัชกาลที่ 9 เป็นวิวที่คุ้มสุดๆ

 เจดีย์องค์ที่ 1 เจดีย์ร้อยยอดพระธาตุพันองค์  

เส้นทางเดินจากเจดีย์องค์ที่ 2 ไม่ได้เชื่อมตรงกับ เจดีย์องค์ที่ 4 “พุทธนครกลางหาว” แต่จากเจดีย์องค์นี้สามารถเดินต่อไปยัง เจดีย์องค์ที่ 5 “มหาพุทธะสะหัสสะวดี” และ เจดีย์องค์ที่ 6 “พุทธธาราวดี” ใช้เวลาเดินประมาณ 30–40 นาที เส้นทางสลับระหว่างทางเดินธรรมชาติและบันไดปูน ถือว่าง่ายพอสมควร แต่ต้องระวังบางช่วงที่แคบและลื่น โดยเฉพาะในฤดูฝน เมื่อขึ้นมาถึง เจดีย์องค์ที่ 4 จะได้พบรอยพระพุทธบาทประดิษฐานในศาลาองค์พระประธานกลางเจดีย์ รอบด้านล้อมด้วยเจดีย์องค์เล็กสีทอง 32 องค์ และดอกไม้ป่าที่ขึ้นประดับสวยงาม ส่วน เจดีย์องค์ที่ 5 ตั้งเด่นด้วยสีขาวตัดกับหุบเขา ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ รอบด้านมีศาลาระฆังตีเพื่อเสริมสิริมงคล และสามารถทอดสายตาเห็นยอดเจดีย์อื่น ๆ ได้

เจดีย์องค์ที่ 2 พุทธศิลาวดี
 เจดีย์องค์ที่ 3 พุทธราชาวดี
  เจดีย์องค์เล็กที่อยู่รายล้อมยอดเจดีย์องค์ที่4

เดินต่อไปยัง เจดีย์องค์ที่ 6 ซึ่งมีหลวงพ่ออุปคุต ประดิษฐานอยู่ใจกลาง และด้านบนมีแผนที่จะก่อสร้างเป็นอควาเรียม ส่วนองค์เจดีย์สร้างด้วยอิฐมอญเก่าจากพระนครศรีอยุธยา มีหอระฆังด้านนอก และถือเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุด วัดจากพื้นประมาณ 150 เมตร ระยะทางเดิน 400 เมตร สำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัดหรือไม่อยากเดินไกล สามารถเลือกขึ้นสักการะเพียงเจดีย์องค์เดียวได้ แต่หากต้องการซึมซับพลังธรรมชาติและพลังบุญให้เต็มที่ การเดินสักการะเจดีย์ทุกองค์ก็เป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่า เพียงแต่ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม และระวังเส้นทางสูงชันและลื่นด้วย

 ซุ้มประตูพุทธาวดี

แวะพักเติมพลังกันที่ รุ่งฟ้าฟาร์มสเตย์ (เขาสก) ฟาร์มเล็ก ๆ ท่ามกลางหุบเขาเขียวขจี ทำให้รู้สึกสดชื่นเหมือนได้มาชาร์จแบตร่างกายทันที พอเจอกับ พี่ยู-นพดล จันทร์อยู่ เจ้าของฟาร์ม ซึ่งเป็นชายวัยกลางคนหน้าดุ ๆ แต่พอยิ้มและทักทายกลับทำให้เรารู้เลยว่าใจดีมาก ๆ เขาเล่าที่มาของฟาร์มให้ฟังว่าเดิมทำอาชีพไกด์มา 20 ปี ก่อนหน้านี้ที่บ้านก็ปลูกสวนเล็ก ๆ ประมาณ 3 ไร่ครึ่ง เพื่อน ๆ ที่มาเที่ยวบ้านแนะนำให้ทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว อีกทั้งภรรยาก็อยากให้เขาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น จึงเริ่มทำฟาร์มตั้งแต่ก่อนเกิดโควิด-19 เพียง 1 ปี ในสวนปลูกผักสวนครัวแบบปลอดสารเคมี 100% ทั้งผักเหลียง มะกรูด มะเขือเปราะ มะเขือยาวม่วง ผักบุ้ง บวบ และยังมีก่อไผ่ตง ที่ช่วงนี้กำลังได้หน่อพอดีเจดีย์องค์ที่ 2 พุทธศิลาวดี

  ศาลจ้าวปู่พญานาคาธิบดีศรีสุทโธ

ความสนุกของที่นี่ไม่ได้มีแค่ชมสวน แต่เราได้เก็บผักด้วยตัวเอง ลองขูดมะพร้าว หุงข้าวจากใบแรดใส่กระบอกไม้ไผ่ และช่วยกันผัดกับข้าว กลิ่นหอมลอยฟุ้งไปทั่ว หลังจากนั้นก็นำกับข้าวที่ผัดเสร็จแล้วใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่ที่ตัดแต่งเป็นถ้วยยาว ๆ แม้ลักษณะจะไม่เหมือนถ้วยธรรมดา แต่เป็นมื้ออาหารที่ทั้งลงแรงและกินจนพุงกางเลย

เห็ดถ้วยขนสั้น หรือที่รู้จักกันว่า เห็ดถ้วยแชมเปญ

มาถึงจุดชมวิวเขาสก เป็นจุดชมวิวเล็ก ๆ ระหว่างทาง แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้หัวใจพองฟู ทิวเขาสลับซับซ้อนกับหมอกบางบางอากาศเย็นสบาย เป็นจุดหมายสุดท้ายที่ประทับใจมากๆของทริปนี้ แต่ความงดงามและเสน่ห์ของสุราษฎร์ธานียังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะยังมีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมอีกมากมายรอให้นักเดินทางมาสัมผัสด้วยตัวเอง

 พระพุทธรูปกลางลานทางเข้าอุทยานธรรมเขานาในหลวง
บรรยากาศทางขึ้น อุทยานธรรมเขานาในหลวง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'วัชระ' ยื่น 2 ปลัดเกษตร-สาธารณสุข สอบโรงเลี้ยงไก่ส่งกลิ่นเหม็นบนเกาะสมุย

นายวัชระ เพชรทอง อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าตามที่ชาวเกาะสมุยได้มีการประท้วงกลิ่นขี้ไก่ 50,000 ตัว ส่งกลิ่นเหม็นรบกวนชาวบ้าน จึงได้ช่วยชาวบ้านโดยการส่งหนังสือถึงนายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องขอให้สั่งการให้กรมปศุสัตว์ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อร้องเรียนของชาวอ.เกาะสมุยว่า โรงเลี้ยงไก่ไข่ 50,000 ตัว สร้างถูกสุขลักษณะก่

'วัชระ' เผยรัฐบาลจ่ายเงินช่วยน้ำท่วมครัวเรือนละ 9,000 บาทให้ชาวสุราษฎร์แล้ว

นายวัชระ เพชรทอง อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าตามที่ไปยื่นหนังสือลงวันที่ 29 มีนาคม 2568 เพื่อเรียกร้องเงินช่วยเหลือน้ำท่วมถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและตีฝาหม้อเป้งๆเชิงสัญลักษณ์บอกรัฐบาลว่าชาวใต้เดือดร้อนมาก

ต้นแบบแปลงใหญ่หอยนางรมสุราษฎร์ธานี สินค้าเกษตรมูลค่าสูง สร้างรายได้ปีละ 68 ล้านบาท

นายนิกร แสงเกตุ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 8 สุราษฎร์ธานี (สศท.8) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า หอยนางรมสุราษฎร์ธานี เป็นสินค้าที่สร้างมูลค่าให้กับจังหวัด

สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 11 สุราษฎร์ธานี เสริมสร้างทักษะแรงงานอิสระและกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ภายใต้นโยบาย “หนึ่งตำบล หนึ่งกลุ่มอาชีพอิสระ”

วันที่ 11 มีนาคม 2568 นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยนางสมพร ดวงแก้ว ผุ้อำนวยการสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 11 สุราษฎร์ธานี ตรวจเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจผู้เข้ารับการฝึกอบรมโครงการเพิ่มทักษะแรงงานอิสระ