
ศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า บ้านพระแก้ว จ.ชัยนาท ณ ตำบลแพรกศรีราชา อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท เป็นศูนย์การเรียนรู้ที่ บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด สนับสนุนการจัดตั้งศูนย์เป็นแห่งที่ 7 และเป็นศูนย์ภาคกลางแห่งแรกที่สยามคูโบต้าสนับสนุน จากก่อนหน้านี้ที่สยามคูโบต้า ได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ชุมชนมาแล้ว 6 แห่งได้เแก่ 1. ศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า-เกษตรทิพย์ อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ 2.ศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า-ผักไหม อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ3.ศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า-ห้วยตาดข่า อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี 4.ศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า-ตอนิมิตร อ.สูงเม่น จ.แพร่ 5. ศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า-หนองผักบุ้ง อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ 6.ศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า-เขานาใน อ.พนม จ.สุราษฎร์ธานี
สำหรับศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า บ้านพระแก้ว จ.ชัยนาท มีความแตกต่างจากศูนย์เรียนรู้อื่นๆ ตรงที่ เป็นศูนย์ที่เข้ามาสนับสนุนการปลูกข้าว เนื่องจากข้าวเป็นพืชเกษตรหลักของจังหวัด พร้อมๆกับการสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกพืชผักอื่นๆ ไม่ได้มีแต่ข้าวเพียงอย่างเดียวเหมือนที่ผ่านมา

ในส่วนการพัฒนาได้ตั้งเป้าที่จะชูบทบาท 3มิติ ทั้งในด้านการพัฒนาการเกษตร ด้านการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มและการตลาด และด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากร พร้อมนำร่องโมเดลการเพาะปลูกข้าวคาร์บอนต่ำครบวงจรด้วยเกษตรครบวงจร KUBOTA (Agri) Solutions หรือ KAS เกษตรปลอดนาหว่าน (Zero Broadcast) เกษตรปลอดการเผา (Zero Burn) การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง (AWD: Alternative Wetting and Drying) และการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมตั้งเป้าผลักดันการพัฒนารายได้ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ เติบโตกว่า 40% ภายในปี 2569
นอกจากการผลักดันให้ศูนย์ฯแห่งนี้ เป็นโมเดลนำร่องการเพาะปลูกข้าวคาร์บอนต่ำครบวงจรแล้ว จุดที่โดดเด่นน่าจับตาอีกประการก็คือ การสนับสนุนให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชผักมากขึ้น โดยพืชผักที่ปลูกเป็นผักที่ปลอดสารเคมี โดยจะมีการตรวจคุณภาพของพืชผักของเกษตรกรที่เป็นสมาชิกว่าว่าปลอดสารเคมีจริงหรือไม่ ซึ่งการตรวจมีมาตรฐานในระดับเทียบเท่ากับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ตรวจคุณภาพอาหาร ซึ่งทางสยามคูโบต้า ได้สนับสนุนทางด้านความรู้ เครื่องไม้เครื่องมือการตรวจพืชผัก เพื่อให้เกษตรกรที่เป็นสมาชิกของศูนย์ฯ อยู่ในกรอบข้อตกลงว่าจะปลูกผักปลอดสารเคมีเท่านั้น โดยปัจจุบันพืชผักเป็นตัวสร้างรายได้มากกว่าการปลูกข้าว หรือมีรายได้ประมาณ 3-4หมื่นบาท ต่อรอบการผลิต ขณะที่รายได้จากข้าวจะมีประมาณปีละ 2หมื่นบาทต่อรอบการปลูก

ก่อนมาเป็นศูนย์เรียนรู้ฯ กลุ่มเกษตรกรชุมชนบ้านพระแก้ว ซึ่งรวมตัวกันเป็นวิสาหกิจชุมชนบ้านพระแก้ว นับว่าเป็นชุมชนที่มีความเข้มแข็ง มีสมาชิก 42 คน พื้นที่เพาะปลูก 750 ไร่ แบ่งเป็นการปลูกข้าว 726 ไร่ เป็นการปลูกข้าวหอมปทุมธานี เป็นหลัก นอกจากนี้ปลูกพืชผักอื่นๆส่วนใหญ่เป็นพืชผักสวนครัว หัวหอม 24 ไร่ จะเห็นได้ว่าพืชผัก เป็นพืชที่มีอนาคตในแง่การสร้างรายได้ดีกว่าข้าว ทำให้มีแนวโน้มว่าเกษตรกรจะแบ่งพื้นที่ปลูกข้าวมาปลูกพืชผัก มากขึ้น

นายคาซึโนริ ทานิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า สยามคูโบต้ามุ่งขับเคลื่อนนโยบายหลักเพื่อก้าวสู่การเป็น “Global Major Brand” ในฐานะผู้นำธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตร-นวัตกรรมการเกษตรของประเทศไทย โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน ผ่าน Smart Farming ควบคู่กับการบริหารจัดการตามหลัก K-ESG ที่เน้นการสร้างสรรค์นวัตกรรมเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ ล่าสุดสยามคูโบต้าได้ต่อยอดโครงการ “ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า” เปิดศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า – บ้านพระแก้ว แห่งที่ 7 จังหวัดชัยนาท ซึ่งพัฒนาเป็นชุมชนต้นแบบนวัตกรรมโซลูชันเพาะปลูกข้าวครบวงจร ภายใต้การสนับสนุนของสยามคูโบต้า ผ่านกิจกรรมการเกษตรที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต และต่อยอดสู่เป้าหมายในการสร้างสรรค์ชุมชนต้นแบบเกษตรคาร์บอนต่ำในอนาคต
ด้าน นายวิทยา ชพานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท กล่าวว่า ชัยนาทมีพื้นที่ปลูกข้าว 8แสนไร่ เป็นพื้นที่เขตชลประทาน 7แสนไร่ ปัจจุบันจังหวัดชัยนาทมีนโยบายมุ่งเน้นการพัฒนาเกษตรและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการขับเคลื่อน “ชัยนาทโมเดล” ที่ส่งเสริมอาชีพเสริมให้แก่เกษตรกรเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งได้นำแนวคิด BCG Economy มาใช้ยกระดับการปลูกข้าวรักษ์โลกและสินค้าเกษตรปลอดภัย ควบคู่ไปกับการผลักดันเศรษฐกิจฐานราก การพัฒนาตลาดชุมชน ตลอดจนการท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตชุมชน เพื่อเสริมสร้างรายได้และความมั่นคงให้กับประชาชนจังหวัดชัยนาทอย่างรอบด้าน ซึ่งการเข้ามาช่วยแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ จากภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี-นวัตกรรมการเกษตร ของสยามคูโบต้า ถือเป็นการสานต่อนโยบายดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โ ดยการสนับสนุนองค์ความรู้ในการปลูกข้าวและปลูกผักเชิงพาณิชย์ที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีแบบครบวงจร ไม่เพียงสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร แต่ยังเป็นการหลอมรวมพลังของชุมชนภาคการเกษตรที่เข้มแข็ง

วราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 14 ปีที่สยามคูโบต้าริเริ่มโครงการชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า ตั้งแต่ปี 2554 เรามุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมพัฒนาวิถีชีวิตของเกษตรกรไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน ควบคู่กับไปกับการยกระดับภาคเกษตรกรรมของประเทศ สำหรับศูนย์เรียนรู้ฯ บ้านพระแก้วแห่งนี้ ถือเป็นแห่งแรกของภาคกลางที่สยามคูโบต้าได้เข้าไปสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนผลิตพันธุ์พืช เพื่อพลิกโฉมสู่การเป็นชุมชนเกษตรต้นแบบด้านนวัตกรรมโซลูชันเพาะปลูกข้าวครบวงจร ทั้งยังเป็นศูนย์การปลูกผักเชิงพาณิชย์แห่งแรกของสยามคูโบต้า ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างรายได้อย่างยั่งยืนแก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ โดยตั้งเป้าหมายรายได้เฉลี่ยของศูนย์เรียนรู้ บ้านพระแก้ว เติบโตขึ้นกว่า 40% ภายในปี 2569
ส่วนการส่งเสริมพืชผักสวนครัว เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ตลอดทั้งปีด้วยการปลูกพืชมูลค่าสูง ในมาตรฐาน GAP ทำให้สยามคูโบต้า จัดทำโรงคัด ตัด แต่งและบรรจุภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน GMPขึ้น ภายในศูนย์เรียนรู้ฯขึ้น เพื่อทำหน้าที่ คัดแยกพืชผักเกษตรกรสมาชิกภายในกลุ่ม จำนวน 9 ชนิดที่ได้มาตรฐานGAP ได้แก่ โหระพา ต้นหอม มะเขือ พริกจินดา ผักชีฝรั่ง ผักชีไทย ผักกวางตุ้ง ผักบุ้ง และขึ้นฉ่าย ซึ่งการปลูกผักเหล่านี้ ได้อาศัยกระบวนการปลูกที่นำระบบ IoT มาใช้ ทำให้สามารถรักษามาตรฐานการผลิตและควบคุมผลผลิตได้อย่างแม่นยำ

การปลูกข้าวโลว์คาร์บอนครบวงจรภายใต้โครงการ Low Carbon Agriculture Farmily โดยมุ่งสร้าง Ecosystem การปลูกข้าวแบบยั่งยืน วราภรณ์ กล่าวว่า เป็นการขับเคลื่อนการบริหารจัดการตามหลัก K-ESG ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลอย่างเป็นรูปธรรม ในภาคปฎิบัติจะเริ่มตั้งแต่การเตรียมดิน ที่มุ่งส่งเสริมการใช้ “ไบโอชาร์” ในปริมาณที่เหมาะสมกับสภาพดิน เพื่อช่วยกักเก็บคาร์บอนในดิน การเพาะปลูก ด้วยการรณรงค์ทำ “นาเปียกสลับแห้ง” เพื่อลดการขังน้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการปล่อยก๊าซมีเทน การจัดการฟาง มุ่งเน้นให้เกษตรกรทำการ “อัดฟางข้าว” เพื่อนำไปผลิตเป็นไบโอชาร์สำหรับใช้ในขั้นตอนเตรียมดินต่อไป จนเกิดเป็นการสร้างวงจรหมุนเวียนให้เกิดขึ้นในระบบ Farmily เพื่อนำไปสู่การพัฒนาภาคเกษตรกรรมมุ่งสู่เป้าหมาย NET ZERO 2050 อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นต้นแบบให้แก่เกษตรกรในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงได้ศึกษาและนำไปประยุกต์ใช้ได้ต่อไปในอนาคต
“เรายังให้ความสำคัญด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ผลักดันให้มีการสร้างผู้นำภายในกลุ่ม พร้อมๆกับการวางแผนโครงสร้างการบริหารจัดการกลุ่มอย่างเป็นระบบ เพื่อให้กลุ่มเกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน พร้อมๆกับมุ่งหวังพัฒนาศูนย์เรียนรู้ฯ บ้านพระแก้วให้เป็นฟาร์มนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่สู่ความยั่งยืน หรือ “Smart Farming Model” ระดับภูมิภาค ต่อยอดสู่การปลูกข้าวคาร์บอนต่ำครบวงจร เพื่อเป็นโมเดลต้นแบบของภาคเกษตรกรรมไทย “วราภรณ์กล่าว

บุญฤทธิ หอมจันทร์ ประธานวิสาหกิจชุมชนผลิตพันธุ์พืชบ้านพระแก้ว กล่าวว่า วิสาหกิจชุมชนผลิตพันธุ์พืชบ้านพระแก้วมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่ประสบปัญหาในการทำนาแบบดั้งเดิม ซึ่งเผชิญกับอุปสรรคหลายด้าน ทั้งต้นทุนการผลิต ราคาปุ๋ยและสารเคมีที่สูงขึ้น รวมถึงเมล็ดพันธุ์คุณภาพที่มีราคาสูง แต่กลับได้ผลผลิตน้อยและไม่ได้มาตรฐาน และยังต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน ราคาข้าวที่ผันผวน และมาเจอกับปัญหาสภาพอากาศที่แปรปรวนภาวะโลกร้อน เกษตรกรจึงอยู่ในภาวะขาดทุน
ในปี 2563 กลุ่มได้รับความสนับสนุนจากสยามคูโบต้าที่เข้ามาพัฒนากลุ่มวิสาหกิจชุมชน มีการส่งเจ้าหน้าที่ของบริษัทมาให้คำปรึกษาแนะนำ ส่งมอบความรู้ เพื่อให้เกษตรกรเรียนรู้การทำเกษตรคาร์บอนต่ำ พร้อมๆกับ การเรียนรู้การใช้เทคโนโลยี-นวัตกรรมเกษตร รวมถึงองค์ความรู้และเทคนิคใหม่ ๆ โดยเฉพาะการนำเกษตรครบวงจร KAS ที่ผสมผสานเทคนิคการเพาะปลูกเข้ากับนวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตร อาทิ แทรกเตอร์ เครื่องหยอด รถดำนา โดรนการเกษตร และรถเกี่ยวนวดข้าว ทำให้การปลูกข้าวมีความแม่นยำและบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์เรื่องลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตและ คุณภาพผลิตผลที่ดียิ่งขึ้น
“คูโบต้ามาช่วยเรื่องเทคนิคการปลูกให้กับเรา เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ทำให้เกษตรกรต้องมีการปรับตัว และยังให้พวกเรามาร่วมกลุ่มกันร่วมฟัง ร่วมคิด สมาชิกแยกกันทำงานซึ่งถือว่าเป็นก้าวแรกของการพัฒนาที่สำคัญ ทำให้เกษตรกรมีรายได้ และผมมองว่า จากจุดนี้ การพัฒนาจะต้องขยายไปทั้งจังหวัดชัยนาท ให้มีรายได้มั่นคงแข็งแรง พัฒนาสินค้าของตนเองเป็นที่ต้องการของตลาด”ประธานวิสาหกิจชุมชนฯกล่าว.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'เขื่อนเจ้าพระยา' เร่งพร่องน้ำเตรียมรับพายุคาจิกิ
สำนักชลประทานที่ 12 จ.ชัยนาท เร่งพร่องน้ำเขื่อนเจ้าพระยา เพื่อเตรียมพื้นที่รองรับปริมาณน้ำเหนือ และน้ำฝน จากพายุคาจิกิ ที่คาดว่าจะขึ้นฝั่งประเทศเวียดนาม
ชาวนาชัยนาทขอรัฐบาลใหม่ลดค่าปุ๋ย-เพิ่มราคาข้าว
ชาวนาชัยนาทถือฤกษ์ดีวันพืชมงคลไถนาปลูกข้าว เชื่อจะให้ผลผลิตงาม ขอรัฐบาลใหม่ช่วยลดค่าปุ๋ยค่ายาและช่วยเพิ่มราคาขายข้าว
อ.สรรพยา จ.ชัยนาทยังวิกฤตบางจุดท่วม 2 เมตร!
น้ำท่วม อ.สรรพยายังวิกฤติ หลายจุดสูงเกือบ 2 เมตร ขณะที่ผู้สูงอายุไม่ยอมทิ้งบ้าน แม้ป่วยเป็นไข้ยังไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่พาไปหาหมอ
น้ำเจ้าพระยาสูง ล้นประตูระบายน้ำบางเสวย ไหลลงคลอง 1 ซ้ายบรมธาตุ
สถานการณ์น้ำ จ.ชัยนาท แม่น้ำเจ้าพระยาสูงล้นประตูระบายน้ำบางเสวย ไหลลงคลอง 1ซ้ายบรมธาตุ ทำให้น้ำในคลองสูงขึ้น กัดเซาะถนนคันคลองอีกด้านขาดกว่า 10 เมตร ส่งผลน้ำท่วมขยายวงกว้าง
เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำทะลักสถานที่เที่ยวดังเมืองชัยนาท
เอาไม่อยู่! เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำเกิน 2,700 น้ำลอดใต้พนังกั้นน้ำหน้าตลาดสรรพยา จ.ชัยนาท ทะลักเข้าท่วมตลาดและโรงพักเก่า ร.ศ.120 สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของอำเภอ


