Corruption Watch เปิดต่างบานแรก ปชช.รู้ทันโกง

“ในปีงบประมาณ 2567 จนถึงปัจจุบัน มีข้อร้องเรียนที่ยังไม่ได้คัดกรองประมาณไม่เกิน 10,000 เรื่อง ซึ่งเมื่อพิจารณาเรื่องที่ผ่านการคัดกรองแล้ว จะพบว่าประเด็นที่พบมากที่สุดคือการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงสุดถึงประมาณ 67% ของเรื่องทั้งหมด”

การคอร์รัปชันเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน จนแทบกลายเป็นบาดแผลเรื้อรังที่กัดกร่อนความเชื่อมั่นของประชาชน และบั่นทอนการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม จากการจ่ายสินบนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราคุ้นชินในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการทุจริตโครงการขนาดใหญ่ที่สร้างความเสียหายมหาศาลให้กับงบประมาณแผ่นดิน ปัญหาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นโครงสร้างที่อ่อนแอของระบบราชการ และความจริงที่น่าหดหู่คือ แม้จะมีข่าวการปราบปรามการโกงออกมาเป็นระยะ แต่กลับยังไม่เห็นแนวทางแก้ไขเชิงโครงสร้างหรือมาตรการระยะยาวจากภาครัฐอย่างจริงจัง

ดังนั้นการสร้างพลังในการมีส่วนร่วมแจ้งเบาะแสเป็นอีกช่องทางที่สำคัญที่ภาคประชาชนมีส่วนสำคัญ โดยทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ในงาน Chula the Impact ครั้งที่ 35 ได้เปิดตัว “Corruption Watch แชตฟ้องโกง ทันใจ” เครื่องมือดิจิทัลใหม่ล่าสุดที่เปิดโอกาสให้ประชาชน แจ้งเหตุสงสัยการทุจริตได้ทุกที่ ทุกเวลา อย่างปลอดภัยและไม่เปิดเผยตัวตน โดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ถือเป็นก้าวสำคัญของสังคมไทย ที่ทำให้ทุกคน มีพลังในการร่วมตรวจสอบความโปร่งใส

รศ.ดร.ศิริเดช สุชีวะ รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การทุจริตคอร์รัปชันเป็นปัญหาใหญ่ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของประเทศ และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง การพัฒนาเครื่องมือ Corruption Watch จึงสะท้อนเจตนารมณ์ของจุฬาฯ ในการสร้างระบบนิเวศต่อต้านคอร์รัปชันที่เปิดกว้างและเน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยเครื่องมือนี้พัฒนาขึ้นจากงานวิจัยและการระดมความคิดเห็นร่วมกับเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ผ่านการสำรวจ สัมภาษณ์เชิงลึก และการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย และแก้ไขข้อจำกัดของระบบแจ้งเบาะแสในอดีต ที่สำคัญยังช่วยให้ประชาชนมั่นใจว่าการแจ้งเบาะแสไม่ใช่เรื่องยุ่งยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่สามารถทำได้ง่าย ปลอดภัย และมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมโปร่งใสไปด้วยกัน

ดร.มานะ นิมิตรมงคล

ด้าน ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ACT)  กล่าวว่า หากมองภาพรวมของปัญหาคอร์รัปชันในประเทศไทยในปัจจุบัน คงต้องยอมรับว่าสถานการณ์ได้เข้าสู่ขั้นวิกฤตแล้วอย่างแท้จริง พฤติกรรมการโกงในยุคนี้ไม่เพียงแต่ทวีความรุนแรงมากขึ้น แต่ยังแยบยลและแนบเนียนจนประชาชนทั่วไปแทบไม่สามารถสังเกตเห็นได้ เพราะผู้ทุจริตมักใช้กฎหมายหรือกฎระเบียบมาอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรม อีกทั้งยังมีลักษณะเป็นเครือข่ายที่ซับซ้อน ทำให้ยากต่อการติดตามหรือเอาผิด ไม่ว่าจะเป็นประชาชนเองที่ต้องการตรวจสอบ หรือแม้แต่หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้ง่ายนัก

ดร.มานะ  กล่าวต่อว่า การโกงที่เป็นเครือข่ายเช่นนี้ก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อประเทศ โดยอาจเริ่มตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน เช่น การที่ประชาชนต้องจ่ายสินบนเพื่อขอใบอนุญาตก่อสร้างบ้าน อาคาร หรือร้านค้า การซื้อสิทธิขายเสียง ซึ่งยังคงพบเห็นได้ทั่วไป มาจนถึงการทุจริตขนาดใหญ่ระดับพันล้านบาทในโครงการภาครัฐ ที่หลายคนคงเคยเห็นตัวอย่างชัดเจนอย่างตึกราชการร้างที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้มีมูลค่ารวมกันนับแสนล้านบาท แต่กลับไม่มีใครลุกขึ้นมารับผิดชอบ หรือไม่เห็นท่าทีจากภาครัฐว่าจะจัดการกับความเสียหายเหล่านี้อย่างไร

กรณีที่สะท้อนปัญหานี้ได้ชัดเจน ดร.มานะ ยกตัวอย่างกรณี อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ถล่มลงมา แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าสาเหตุที่แท้จริงมาจากอะไร สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นการเหมารวมความผิดไปยังบริษัทก่อสร้าง วิศวกร และสถาปนิก โดยดำเนินคดีไปก่อน พร้อมกับการโยนเรื่องให้หน่วยงานอย่าง ป.ป.ช. ตรวจสอบข้าราชการกว่า 70 คน เพื่อพิจารณาว่าใครมีมูลความผิดบ้าง ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบราชการในการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน

“แม้ประชาชนจำนวนไม่น้อยพยายามร้องเรียนต่อหน่วยงานรัฐหรือรัฐบาลโดยตรง แต่เรื่องส่วนใหญ่กลับถูกส่งต่อไปมาโดยไร้คำตอบหรือการแก้ไขอย่างจริงจัง ต้องเริ่มต้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งที่สังคมคาดหวังคือการเห็นผู้นำประเทศแสดงวิสัยทัศน์และกำหนดแนวทางแก้ปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจัง แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ยังไม่ปรากฏการปฏิรูปเชิงโครงสร้างหรือมาตรการยั่งยืน มีเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าดังนั้น การต่อสู้กับคอร์รัปชันจึงต้องอาศัยพลังร่วมของภาคประชาชน นักวิชาการ และสถาบันการศึกษา ให้เข้ามามีบทบาทเชิงรุก ทั้งในการตรวจสอบ รับเบาะแส และผลักดันเชิงนโยบาย เพื่อสร้างแรงกดดันและให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม” ดร.มานะ  กล่าว

การพัฒนา Corruption Watch รศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ Corruption Watch กล่าวว่า เมื่อเข้าใจบริบทว่าปัญหาคอร์รัปชันมีจำนวนมาก ทาง ACT จึงเริ่มต้นพัฒนาระบบที่ใช้ AI เชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างของกรมบัญชีกลาง ข้อมูลทรัพย์สินนักการเมืองจาก ป.ป.ช. และการจดทะเบียนธุรกิจการค้า เพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์ความเสี่ยง จุดไหนมีความเสี่ยงสูง จึงเปรียบเสมือนหน้าต่างบานแรกที่ให้ประชาชนมองเห็นปัญหามากขึ้น และเชื่อมต่อกับศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (CDC) ของ ป.ป.ช. เพื่อให้ประชาชนสามารถร้องเรียนได้โดยตรง

รศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค

รศ.ดร.ต่อภัสสร์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ยังมีประชาชนอีกจำนวนไม่น้อยที่กังวลในการเข้ามาร้องเรียน ดังนั้น การพัฒนา แพลตฟอร์ม Corruption Watch แชทบอท ฟ้องโกง ถูกจุด ทันใจ ขึ้น เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงช่องทางแจ้งเบาะแสได้ง่ายขึ้น เพียงแค่ผ่าน LINE ด้วยความปลอดภัย ไม่เปิดเผยตัวตน สามารถอัปโหลดหลักฐานหลายรูปแบบ ระบบจะคัดกรองเรื่องและส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างตรงจุด พร้อมอัปเดตสถานะการดำเนินงานจนถึงขั้นการแก้ไขปัญหา

“ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มีระบบ Corruption Watch ได้รับแจ้งเบาะแสมากกว่า 140 เรื่อง ในจำนวนนี้มี 36 เรื่องที่ได้รับการตรวจสอบและแก้ไขโดยหน่วยงานรัฐและภาคส่วนต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่า เมื่อมีระบบการแจ้งเบาะแสที่เป็นระบบและเข้าถึงง่าย การแก้ปัญหาคอร์รัปชันจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นช่องทางให้ประชาชนทุกคนสามารถมีส่วนร่วมสร้างความโปร่งใสให้สังคมร่วมกัน” รศ.ดร.ต่อภัสสร์ กล่าว

ฐิติวรดา เอกบงกชกุล

ฐิติวรดา เอกบงกชกุล ผู้อำนวยการสำนักเฝ้าระวังฯ สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.)  กล่าวว่า จากข้อมูลสถิติ ข้อร้องเรียนที่ ป.ป.ช. ได้รับ รวมถึงข้อมูลจากสื่อมวลชนและงานวิจัยต่าง ๆ พบว่า สถานการณ์การทุจริตในประเทศไทยยังคงทรงตัว ไม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปีที่ผ่านมาในปีงบประมาณ 2567 จนถึงปัจจุบัน มีข้อร้องเรียนที่ยังไม่ได้คัดกรองประมาณไม่เกิน 10,000 เรื่อง ซึ่งเมื่อพิจารณาเรื่องที่ผ่านการคัดกรองแล้ว จะพบว่าประเด็นที่พบมากที่สุดคือการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงสุดถึงประมาณ 67% ของเรื่องทั้งหมด

ฐิติวรดา กล่าวต่อว่า โดยการจัดซื้อจัดจ้างยังคงเป็นช่องทางสำคัญที่พบความเสี่ยงสูง เนื่องจากเป็นกระบวนการหลักในการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อพัฒนาประเทศ ซึ่งทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีหน่วยงานย่อยกระจายอยู่ทั่วประเทศ ต่างต้องเริ่มต้นโครงการต่าง ๆ ด้วยกระบวนการนี้ จึงพบว่ามีจำนวนเรื่องร้องเรียนจากท้องถิ่นค่อนข้างมาก แม้บางครั้งมูลค่าความเสียหายอาจไม่สูงเท่ากับกรณีในระดับกระทรวงหรือหน่วยงานส่วนกลาง ส่วนประเด็นรองที่พบได้บ่อยคือ การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบราชการและธรรมาภิบาล

ช่องทางการร้องเรียน ฐิติวรดา กล่าวว่า  โดยทั่วไปข้อร้องเรียนส่วนใหญ่มักจะส่งเข้ามาในรูปแบบหนังสือ ซึ่งประชาชนรู้สึกไม่มั่นใจในเรื่องการปกปิดตัวตน อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช. ก็ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ อย่างระบบรับร้องเรียนผ่านออนไลน์และแชทบอต Corruption Watch เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และสามารถแจ้งเบาะแสแบบเรียลไทม์ เช่น ส่งภาพ คลิป หรือระบุพิกัดได้ทันที ซึ่งระบบให้เข้าถึงง่ายขึ้นก็ต้องมีการกลั่นกรองข้อมูลอย่างรัดกุม เพื่อป้องกันการร้องเรียนเท็จหรือการกลั่นแกล้ง ซึ่งอาจกลายเป็นดาบสองคมได้ อย่างไรก็ตามการจะป้องกันการทุจริตอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่การรับเรื่องร้องเรียนเท่านั้น แต่ต้องวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาเชิงลึก เช่น พฤติกรรมที่นำไปสู่การทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง เริ่มตั้งแต่การร่าง TOR การคัดเลือกผู้รับจ้าง ไปจนถึงการบริหารสัญญา

“สำนักงาน ป.ป.ช. ยังมีความพยายามในการผลักดัน กฎหมายว่าด้วยการขัดกันแห่งผลประโยชน์(Conflict of Interest: COI) โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างร่างกฎหมาย โดยมีการนำเสนอถึง 2 ครั้งในปี 2550 และ 2560 แต่ยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่ยังคงมีความมุ่งมั่นในการผลักดันให้มีกฎหมายนี้ ในการกำหนดกฎระเบียบที่ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐเอื้อประโยชน์แก่เครือญาติหรือบุคคลใกล้ชิด เช่น การแต่งตั้งญาติเป็นลูกจ้าง หรือว่าจ้างบริษัทของคนในครอบครัว ซึ่งเป็นช่องโหว่สำคัญที่ยังไม่ได้รับการจัดการอย่างเป็นรูปธรรม” ฐิติวรดา กล่าว

ประชาชนทุกคนสามารถร่วมเป็น “ผู้เฝ้าระวังการโกง” ได้ทันทีผ่าน LINE Official Account: @corruptionwatch และเว็บไซต์: https://cs.actai.co/

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ดร.มานะ' ยก 10 เหตุผลขอจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ บ่อยครั้งใช้เลี่ยงไม่เข้าโครางการข้อตกลงคุณธรรม

หากเราป้องกันคอร์รัปชัน ล็อกสเปก ฮั้วประมูล แล้วเข้มงวดให้ทุกหน่วยงานใช้อีบิดดิ้งมากขึ้นอีกสัก 5% ประเทศของเราคงเหลือเงินเพิ่มได้อีก 2 – 3 แสนล้านบาท

ดร.มานะ ชี้สิ่งสำคัญมาตรการป้องกันคอร์รัปชันเชิงรุก จี้ 'รบ.-ผู้นำภาครัฐ' หันมารับผิดชอบบ้านเมือง

การต่อสู้เอาชนะคอร์รัปชันไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน สิ่งหนึ่งที่ต้องทำคือ ทักท้วงและทวงถามรัฐบาลและผู้นำภาครัฐที่ถือกฎหมายในมือ ดึงให้พวกเขาหันมารับผิดชอบบ้านเมืองให้มากกว่าเป็นอยู่

ดร.มานะ ชี้ 4 เหตุผลสำคัญ 'เที่ยวไทยคนละครึ่ง' โครงการกระตุ้นศก.รัฐบาลอิ๊งค์ ล่มไม่เป็นท่า

ทำไม ‘เที่ยวไทยคนละครึ่ง’ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในยุครัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ที่ทุ่มงบกว่า 1.7 พันล้านบาท ล่มไม่เป็นท่า

'ดร.มานะ' ชำแหละขบวนการงาบงบ 950 ล้าน ซ่อมบำรุงเครื่องบินตำรวจ

คอร์รัปชันในการซ่อมบำรุงโดยช่างกองบินฯ เอง ยังมีการซ่อมด่วนที่ทั้ง 3 ฝ่ายได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน การจัดซื้ออะไหล่และวัสดุอุปกรณ์ประเภทใช้แล้วหมดไป