
“…แนวคิด Reluctant Economist จะชวนให้คิดว่า สาเหตุหลักที่ทำให้คนในประเทศ “เลือก” ที่จะมีลูกน้อยลง เป็นเพราะคนเรายังไม่ “รู้สึก”ว่าตัวเองประสบความสำเร็จเพียงพอที่จะมีลูก ….”
สถาบันบัณฑิตฯศศินทร์ ได้ออกบทความ”สังคมไทย ‘ตายมากกว่าเกิด’: สิ่งนี้เป็นโอกาสหรือวิกฤตต่อความยั่งยืน”ซึ่งเป็นบทความที่เขียนโดยนักวิชาการสถาบันบัณฑิตฯศศินทร์หลายท่าน ประกอบด้วย ศาสตราจารย์ ดร. เกื้อ วงศ์บุญสิน นักวิชาการอิสระ อดีตศาสตราจารย์วิทยาลัยประชากรศาสตร์จุฬาฯและสถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ รศ. ดร. ปิยะชาติ ภิรมย์สวัสดิ์ รองผู้อำนวยการ ,รศ. ดร. ภัทเรก ศรโชติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ รศ. ดร. พัฒนาพร ฉัตรจุฑามาส หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่องานวิจัยด้านบรรษัทภิบาลและการเงินเชิงพฤติกรรม และศ. ดร. พัชราวลัย วงศ์บุญสิน นักวิชาการอิสระ อดีตศาสตราจารย์วิทยาลัยประชากรศาสตร์จุฬาฯ
บทความระบุว่า ประชากรไทยมีแนวโน้มที่จะลดลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งในอนาคต 50 ปีข้างหน้าโดยประมาณประชากรไทยจะลดลงไปครึ่งหนึ่ง จาก 60 กว่าล้านคน เหลือเพียง 30 กว่าล้านคน ประเทศจะเต็มไปด้วยผู้สูงวัยคนวัยแรงงานจะหายาก คนวัยเด็ก คนวัยหนุ่มสาว ก็จะลดลงและเหลือน้อยลงเป็นอย่างมากทั้งหมดนี้เกิดจากการที่คนไทย มีลูกน้อยลงแน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องที่หลายภาคส่วน พยายามหาทางออกที่ดีที่สุดให้ประเเทศไทย
ในบทความชื่อ “แผนยุทธศาสตร์ชาติฉบับบูรณาการ: พลิกวิกฤตประชากรไทย สู่โอกาสแห่งอนาคต”ที่คณะผู้เขียนได้จัดทำขึ้นและแผยแพร่ในหลายสื่อสิ่งพิมพ์ ก็ได้วางกรอบการรับมือเชิงมหภาคไว้ อย่างไรก็ดีในบทความนี้อยากลองชวนทุกคนมา “ลองคิด” แบบ Reluctant Economist ของศ. Richard A. Easterlin ซึ่งเป็นแนวคิดที่ยังไม่ค่อยเห็น (หรือไม่เคยเห็นเลยก็อาจเป็นได้)โดยนำมาประยุกต์ใช้ในการมองวิกฤตประชากรไทย ว่าจะสามารถทำให้เราเข้าใจ “root cause”หรือสาเหตุที่แท้จริงของวิกฤตประชากรไทยได้หรือไม่ และจะช่วยให้เราหาทางออกที่ดีขึ้นได้ไหม Reluctant Economist คืออะไร
ศ. Richard A. Easterlin เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ซึ่งหนึ่งในคณะผู้เขียนได้มีโอกาสเป็นลูกศิษย์ ได้นำเสนอแนวคิดที่โดดเด่นในวงการเศรษฐศาสตร์หลายแนวคิด เช่น The Easterlin paradox และ The Easterlin hypothesis สำหรับแนวคิด Reluctant Economist ที่นักเศรษฐศาสตร์ท่านนี้ ได้ตีพิมพ์ลงในหนังสือที่มีชื่อเดียวกัน ประเด็นหลักของหนังสือเล่มนี้คือ การลองคิด “นอกกรอบ” โดยเฉพาะกรอบ ที่นักคิดในยุคนั้น ๆ ใช้คิด ซึ่งบางครั้งการคิดอยู่ในกรอบเดิม ๆ ก็อาจจะจำกัดความคิดในการเข้าใจปัญหาและการหาทางออก
สำหรับวิกฤตประชากรที่เกิดขึ้นจากการที่คนในประเทศมีลูกน้อยลง แนวคิด Reluctant Economist จะชวนให้คิดว่า สาเหตุหลักที่ทำให้คนในประเทศ “เลือก” ที่จะมีลูกน้อยลง เป็นเพราะคนเรายังไม่ “รู้สึก”ว่าตัวเองประสบความสำเร็จเพียงพอที่จะมีลูก แนวคิดนี้อ้างอิง “ทฤษฎีรายได้สัมพัทธ์ (Relative Income Hypothesis)”ซึ่งเชื่อว่า การตัดสินใจมีลูกของคนหนุ่มสาว ไม่ได้ดูจาก “;รายได้จริง (Absolute Income) ว่าตอนนี้มีเงินมากพอหรือไม่ แต่เกิดจากการเปรียบเทียบระหว่าง “มาตรฐานการใช้ชีวิตตอนนี้” กับ”มาตรฐานการใช้ชีวิตที่คาดหวัง”; ซึ่งคนหนุ่มสาวเหล่านี้ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากครอบครัว สิ่งแวดล้อม สื่อสังคมต่าง ๆและรูปแบบการใช้ชีวิตที่เติบโตมาจากรุ่นพ่อรุ่นแม่
ดังนั้นหากคนรุ่นใหม่ “รู้สึก” ว่าตัวเอง ยังไม่ประสบความสำเร็จเพียงพอตาม “;มาตรฐานการใช้ชีวิตที่คาดหวัง” เช่น ยังคิดว่าตอนนี้ยังไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดีเท่า หรือดีกว่ารุ่นพ่อแม่ หรือยังคิดว่าต้นทุนการใช้ชีวิตต่าง ๆ มีแต่จะสูงขึ้นค่าเช่าบ้านก็แพงขึ้น ค่าเทอมจะส่งลูกเรียนที่ดี ๆ ก็มีแต่แพงขึ้น ซึ่งเดียวนี้หลายคนก็ตั้งความหวังว่าต้องส่งลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์ ค่าครองชีพต่าง ๆ ก็จะแพงขึ้น นอกจากนี้ ใคร ๆ ก็มีแต่ออกมาพูดว่า AI จะแย่งงานของคนไปหมด แล้วคนจะไปหางานมาจากไหนเพื่อที่จะมีเงินมาเลี้ยงลูกในอนาคต หรือการที่คนเราเห็น “ภาพลวงตา” ในสื่อสังคมต่าง ๆ ว่า ความสำเร็จต้องมีรถสปอร์ตหลายคัน มีบ้านหรู หรือไปเที่ยวที่แพง ซึ่งภาพเหล่านี้ จำนวนไม่น้อย เป็น “ภาพลวงตา” ที่ถูกจัดฉากขึ้นเพื่อการแสดง เพื่อเพิ่มยอดวิว ยอด Follow เท่านั้น
ดังนั้นตราบใดที่ความรู้สึกเหล่านี้ ยังเป็นความรู้สึกที่คนหนุ่มสาวรู้สึกจริงๆ คนหนุ่มสาวเหล่านี้ก็จะเลือกชะลอการมีลูก หรือ ตัดสินใจไม่มีลูกไปเลยน่าจะง่ายกว่าReluctant Economist จะรับมือกับวิกฤตประชากรไทยอย่างไรแน่นอนว่าการรับมือกับวิกฤตประชากรไทย ไม่สามารถจะเน้นหรือพึ่งการเพิ่มประชากรเพียงอย่างเดียวเพราะจะไม่ทันการ และการเพิ่มประชากรไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น ต้องอาศัยมาตรการอื่นที่คณะผู้เขียนได้เคยเขียนไว้ในบทความชื่อ “แผนยุทธศาสตร์ชาติฉบับบูรณาการ:พลิกวิกฤตประชากรไทย สู่โอกาสแห่งอนาคต” ที่กล่าวถึงแนวทางอื่น ๆ เช่นการผลักดันไทยสู่การเป็นผู้นำเศรษฐกิจสูงวัย (Silver Economy)
การพัฒนาไทยให้เป็นศูนย์กลางหรือเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้มีความสามารถระดับโลก (Talent Magnet)รวมถึงการเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเพราะคนวัยแรงงานมีเหลือน้อยลงเรื่อย ๆแต่จะไม่ให้ความสำคัญกับการการเพิ่มประชากรเลยก็ไม่ได้ เพราะหากไม่ทำอะไรเลยในประเด็นนี้ ปัญหานี้จะกลายเป็นปัญหาระดับชาติในระยะยาว
การที่ประเทศไทยในอนาคต 50 ปี ข้างหน้าโดยประมาณจะมีประชากรเพียงครึ่งหนึ่งของตอนนี้ เป็นการเปลี่ยนเชิงโครงสร้างที่รุนแรงมาก และเป็นสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศ ไม่น่าจะต้องการให้เป็นแบบนั้น เพราะจะส่งผลมากมายต่อโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจที่ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อรองรับคน 60 ล้านคน ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ความสามารถในการเจรจาต่อรองระหว่างประเทศ หรือแม้แต่ความมั่นคงทางทหารของประเทศเราถ้าเราใช้มุมมองของ Reluctant Economist ก็จะพบว่าประเด็นที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ “ความคาดหวัง”ต่อมาตรฐานการใช้ชีวิตในอนาคต ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่ามาตรการต่อไปนี้จะมีส่วนสำคัญในการสร้างสภาวะแวดล้อมที่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกมั่นคงและ “มีความหวัง”มากเพียงพอที่จะตัดสินใจมีลูก:
การสร้างความมั่นคงในการมีงานทำในยุค Technology Disruption: ต้องเร่งสร้างความมั่นใจว่าในยุคที่เทคโนโลยี เช่น AI จะเข้ามาแย่งงานของคน “ต้องมีคำตอบว่า”แล้วคนจะไปทำงานอะไร ไม่ใช่ให้ไปตายเอาดาบหน้า ซึ่งงานที่ต้องเร่งสร้างนี้ต้องเป็นงานที่มีคุณค่าเป็นงานที่มีคุณภาพสูง (High-Value Jobs) เป็นงานที่ให้ผลตอบแทนเพียงพอต่อการดำรงชีวิตอย่างมั่นคง ซึ่งการที่จะทำสิ่งนี้ได้ ภาครัฐต้องมีมาตรการทั้งในด้าน Demand และ Supply
กล่าวคือ ในด้าน Demand ภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ ต้องให้ความร่วมมือในการสร้างงานหรือรักษางานคุณภาพสูงที่ต้องการคนไว้ ไม่ใช่การเน้นแสวงหากำไรเพียงอย่างเดียวจากงานที่สามารถถูกทดแทนด้วย AI ได้ ในอนาคตอาจจะมี AI Tax ในแนวทางเดียวกับ Carbon Tax เพราะการใช้ AI อย่างไม่มีความรับผิดชอบ ใช้ AI โดยไม่คำนึงว่าคนจะเอาอะไรกิน ก็ไม่ได้ต่างจากการปล่อยของเสียลงในแม่น้ำลำคลองแบบในสมัยก่อนที่อาจจะเคยดูเป็นทางออกที่ดีเชิงธรุกิจ แต่ตอนนี้ การทำแบบนี้ เป็นสิ่งที่สังคมยอมรับไม่ได้ และต้องมีค่าเสียหายจากองค์กรที่ทำสิ่งนี้
ในด้าน Supply ภาครัฐควรลงทุนในการพัฒนาทุนมนุษย์ ที่เกินกว่าการ Reskill/Upskillเท่านั้น แต่ต้องมุ่งสร้าง New Skill สำหรับงานในรูปแบบใหม่ในโลกยุค Technology Disruption ที่เป็นงานที่มีคุณภาพสูงและให้ผลตอบแทนเพียงพอต่อการดำรงชีวิตอย่างมั่นคง
การลดความเหลื่อมล้ำของมาตรฐานการใช้ชีวิต และ “ภาพลวงตา”แห่งความเหลื่อมล้ำของมาตรฐานการใช้ชีวิตในสื่อสังคมออนไลน์: การลดความเหลื่อมล้ำไม่อาจพิจารณาเพียงการลดความเหลื่อมล้ำ “จริง” ในเชิงสังคมและเศรษฐกิจ แต่ต้องจัดการ“ภาพลวงตา” ที่สื่อสังคมออนไลน์สร้างขึ้นมาด้วย โดยความเหลื่อมล้ำจริง เช่นความแตกต่างใน การเข้าถึง คุณภาพ และราคาการศึกษาของบุตร ศูนย์ดูแลเด็กเล็ก (Daycare)การบริการทางการแพทย์ของแม่และเด็ก การมีที่อยู่อาศัยของครอบครัวเริ่มต้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยลดความกังวลต่อ “ความคาดหวัง” ของมาตรฐานการใช้ชีวิตในอนาคตแต่ภาครัฐก็ต้องจัดการกับ “ภาพลวงตา” ต่าง ๆ อย่างจริงจังเพราะสร้างผลเสียต่อสังคมในระดับที่สูง
อันที่จริง “ภาพลวงตา” ที่เป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องโกหกหลอกลวง น่าจะเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เพราะเป็นการเอาข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ สร้างความเสียหายต่อประชาชน (เกือบ)ทุกคนในประเทศ
การเปลี่ยน Mindset ในสังคมว่า “การสร้างครอบครัวที่มีความสุข” ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด:ถ้าจะให้คนไทยมีลูกมากขึ้น การมีลูกต้องไม่ใช่ภาระที่หนัก เครียด มีต้นทุนสูง มีราคาแพง มีแต่ความน่ากลัว แต่เป็นสิ่งดีต่อตัวเอง เป็นสิ่งที่เติมเต็มชีวิตเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตสมบูรณ์ขึ้น และเป็นสิ่งที่คนในสังคม “วิ่งหา” นอกจากนี้ หากใช้แนวคิดReluctant Economist สิ่งนี้ต้องกลายเป็น “ค่านิยม”เป็นความเชื่อที่เป็นเป้าหมายที่สำคัญในชีวิต อันที่จริง
ถ้าเราบอกว่าสื่อสังคมถูกใช้ในทางที่ผิดในการสร้างภาพลวงตาที่ทำร้ายสังคมทำไมเราไม่เอาสื่อสังคม มาใช้ในการ “สะกิดใจ หรือ Nudging” ให้คนอยากมีลูกโดยให้คนจำนวนมาก เห็นภาพที่เป็นเรื่องจริง ถึงการสร้างครอบครัว “แล้วมีความสุข”
โดยสรุป การแก้ไขวิกฤตประชากรของไทย จำเป็นต้องอาศัยการมองปัญหาอย่างรอบด้านและทะลุถึง “rootcause” หรือสาเหตุที่แท้จริงของวิกฤต แผนยุทธศาสตร์ชาติฯ นั้น แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ก็กำลังจัดการกับ “อาการป่วย” ของสังคมเท่านั้น ในขณะที่แนวคิด Reluctant Economist ทฤษฎีของศาสตราจารย์ Richard A. Easterlin กำลังชี้ให้เห็น “สาเหตุของโรค” ที่แท้จริง หรือ ตัวเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดอาการแบบนั้นการพลิกวิกฤตครั้งนี้จึงขึ้นอยู่กับการสร้าง “สังคมที่มอบความมั่นคงและความหวัง” ให้กับคนรุ่นใหม่เพื่อทำให้การตัดสินใจสร้างครอบครัวเป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริง และ เต็มไปด้วยโอกาส
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ศศินทร์-SCGC จุดประกายสตาร์ตอัป สร้างอิมแพค พลิกโลกธุรกิจ สู่ความยั่งยืน บนเวที Bangkok Business Challenge 2025 - Growing Impactful Ventures
สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin School of Management) ผู้จัดงาน การแข่งขันประกวดแผนธุรกิจ Bangkok Business Challenge 2025 powered by
Dow จับมือ ศศินทร์ สานพลังรักษ์โลกกับคนรุ่นใหม่ ใน "FLY Volunteers Bangkok Summer Camp 2024"
กรุงเทพฯ – 5 เมษายน 2567 – กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ร่วมกับสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาฯ จัดกิจกรรมค่ายผู้นำเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อมรวม 3 วัน ให้กับน้อง ๆ ม.ต้น จากโรงเรียนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
สำรวจดัชนีเชื่อมั่น SMEs ไตรมาส 1 ชะลอตัวลงกังวลค่าพลังงานสูง
SME D Bank จับมือ ศศินทร์ เผยผลสำรวจดัชนีเชื่อมั่น SMEs ประจำไตรมาส 1/2566 ชะลอตัวลงเล็กน้อย เหตุกังวลต้นทุนด้านพลังงานผันผวน กระทบต้นทุนธุรกิจเพิ่ม แต่ภาพรวมเชื่อมั่นยังคงอยู่ในระดับสูง จากแรงส่งภาคท่องเที่ยวคึกคัก ระบุอยากให้รัฐคุมราคาพลังงาน ช่วยสนับสนุนติดตั้งพลังงานทางเลือก ด้าน SME D Bank พร้อมเติมความรู้คู่ทุน หนุนเอสเอ็มอียกระดับธุรกิจด้วย BCG Model


